ต้องเข้าใจเลยว่าแรก ๆ เราไม่เห็นหรอก เป็นแค่ความรู้สึกเฉย ๆ รู้สึกว่าเป็นอย่างไรให้บอกไปอย่างนั้น เหมือนกับเราอยู่ในห้องมืด ๆ เขาส่งของมาให้ชิ้นหนึ่ง เราคลำ ๆ อยู่สักพักหนึ่ง เราก็จะบอกได้ว่า ของชิ้นนี้น่าจะเป็นหนังสือ เป็นต้น
ถ้าครูฝึกยืนยันว่าเป็นหนังสือ เราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้น เราก็ต้องไปฝึก ไปลูบไปคลำอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งแตะปุ๊บก็บอกได้เลยว่านี่คือหนังสือ ถ้าหากมีความคล่องตัวระดับนั้น ความมั่นใจจะเกิด สภาพจิตจะนิ่ง พอสภาพจิตนิ่ง ภาพก็จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
แล้วตอนนั้นจะไปเสียอีกทีก็คือ อยากเห็นชัด พออยากเห็นชัด เรามักจะไปกำหนดเพ่งด้วยสายตา ภาพก็จะหายไปอีก เพราะว่าเราต้องส่งจิตไปยังสถานที่นั้นจึงจะเห็นได้ การที่เราจะเพ่งด้วยสายตา ก็คือ นึกถึงลูกตา นั่นเป็นการนึกถึงตัวเอง เท่ากับเป็นการดึงใจกลับ ภาพก็จะหายไป เราก็ไปนั่งคลุ้มคลั่งว่าทำไมเดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย ?
จนกว่าเราจะทำใจได้ว่า ก่อนหน้านี้ถึงไม่เห็นก็รู้ชัดเจนดีอยู่แล้ว ถึงจะไม่เห็นก็ช่างเถอะ เราพอใจแค่นี้ ถ้าวางกำลังใจอย่างนั้นได้ก็จะเห็นภาพได้นาน ของเรายังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน
เดี๋ยวจะเหมือนไอ้หนูเมื่อตอนบ่าย พอออกจากห้องปุ๊บก็ทดสอบเลย ให้เพื่อนเขียนตัวเลขแล้วก็ทาย..ผิดทั้งหมด เด็กเพิ่งจะเข้าเรียน ป.๑ ไปทำข้อสอบเลยก็เจ๊ง..ผิดหมด
ถาม : แล้วอย่างตอนหลับตา จะเป็นสี ๆ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ หลับตาไม่ได้ใช้สายตา เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเสีย เราไม่ได้ใช้สายตา แต่เอาความรู้สึกนึกถึง
ถาม : จะเป็นสีวงกลม จะเป็นดวง ?
ตอบ : จะเป็นอะไรช่างหัวมัน..! เพราะว่าเป็นการนึกถึงสิ่งที่เราไม่เคยชินเหมือนกับเรานึกถึงบ้าน เราบอกลักษณะรูปร่างบ้านได้ชัดว่าเป็นอย่างไร แต่ถามว่าเห็นไหม?..ก็ไม่เห็น ถามว่ารู้สึกชัดไหม?..ก็ชัด
เขาเห็นกันลักษณะอย่างนั้น เห็นเหมือนอย่างที่เรานึกถึงบ้าน แต่ทีนี้เราชินกับบ้าน เราสามารถบอกได้ เพียงแต่ว่าสิ่งอื่น ๆ เราไม่ชิน ก็เลยต้องเชื่อความรู้สึกแรก
ถาม : เขาถามว่าคนนั้นมาไหม ? คนนี้มาไหม ? เขาว่ามาเราก็ว่ามากับเขา ?
ตอบ : ต่อไปถ้าไม่รู้เรื่องให้นั่งฟังเฉย ๆ อย่าไปมั่ว..เดี๋ยวก็ยิ่งเละไปใหญ่
เป็นที่น่าเสียดายว่า..ครูฝึกส่วนใหญ่ขาดความชำนาญ คือ ขาดเจโตปริยญาณ จึงมักจะโดนลูกศิษย์หลอกเสมอ เขาตอบส่งเดชอย่างไรก็เออออไปกับเขาด้วย เลยทำให้คนส่วนหนึ่งเอาไปพูดกันว่า มโนมยิทธิเป็นเรื่องเหลวไหล..!
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
สนทนาช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๓
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-02-2015 เมื่อ 14:36
|