ก่อนเราไม่รู้ ก็แก้ไม่ได้ บางครั้งเรารู้ ก็แก้ไม่ได้ เพราะไม่แก้จึงไม่หลุด เมื่อแก้ได้แล้วเราก็เปลี่ยนสถานะของจิต ไปเกาะติดอยู่กับความสงบ เกาะอยู่กับพุทโธ คือ ความสงบ สะอาดในดวงจิต เป็นผู้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของจิตในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ เป็นผู้ตื่น มองเห็นโทษของกาม เป็นผู้เบิกบาน จิตผ่องใสตลอดเวลา
ปัญหาต่าง ๆ นานาชนิดที่เข้ามากระทบในอารมณ์ไม่มีผลต่อจิตของเรา ละวาง ไม่ยึดติด ทั้งเป็นผู้มีปัญญาบริสุทธิ์ กลับสู่ฐานเดิมของจิต คือ จิตประภัสสร จิตบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเข้ามารบกวน เข้ามาก็ถูกสกัดด้วยสติ คือ จิตมีพระพุทโธ เราเกาะติดอยู่กับอารมณ์แห่งความสงบทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งตื่นและหลับก็มีสติสัมปชัญญะกำกับตลอดเวลา
คำว่า "แก้ไม่ได้" กับ "ไม่ได้แก้" มันแตกต่างกัน จิตที่อ่อนแอย่อมไม่คิดสู้ชีวิต มีปัญหาก็หนีปัญหา ขาดความอดทน ขาดความเข้มแข็ง เกิดความอ่อนแอ สติขาด เอาแต่ทุรนทุราย ดิ้นหนี ไม่คิดสู้ ปัญหาทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแก้ได้ เพราะมีอนิจจังเป็นปรมัตถ์สัจจะ แต่ต้องมีสติปัญญากำกับ
อย่าใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสินพร้อมทั้งตั้งสติให้มั่นคง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ แต่อย่าทุกข์ เพราะทุกข์ก็ต้องแก้ ไม่ทุกข์ ก็ต้องแก้ เหตุเพราะเรายังมีชีวิตอยู่ ทำไมจึงต้องแก้ไปพร้อมกับความทุกข์ ทำไม ไม่เลือกแก้อย่างฉลาด แก้ไปพร้อมกับความสงบ มีความสุขอยู่ตลอดเวลา แก้ได้จิตก็สงบสุข แก้ไม่ได้จิตก็ไม่สงบสุข
แต่ต้องใช้มหาสติ มีปัญญาที่ประณีต ตั้งฉันทะให้มั่น ค้นหาวิธีแก้ตลอดเวลา หากทำเช่นนี้จะได้ยุทธวิธีในการแก้สภาพปัญหานั้น ๆ นำความคิดมาทดลองแก้ แก้ได้ก็กลายเป็นทฤษฎีต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา ค้นหากลยุทธ์ในการแก้ปัญหาในชีวิตของเรา ไม่ใช่ถูกใจ* ถูกต้องอาจจะไม่ถูกใจ ถูกใจอาจจะไม่ถูกต้อง ใช้รากฐานการวัด* คือ ความสงบใจกับความฟุ้งซ่าน รุ่มร้อนในใจของเราต่อการแก้ปัญหา
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2010 เมื่อ 12:45
|