เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๓
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดเฉพาะหน้า เวลาหายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไป เวลาหายใจออกกำหนดรู้ตามออกมา ใช้คำภาวนาตามอัธยาศัยของเราเอง ชอบคำภาวนาไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น
สำคัญที่สุดก็คือ ให้จดจ่ออยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้าของเรา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อยู่กับปัจจุบันธรรม ถ้าหากเราสามารถทำได้ และกำลังใจทรงตัวมั่นคง ก็จะมีความสุขมาก
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการปฏิบัติธรรมวันที่สองของเดือนมิถุนายน ในช่วงระยะที่ผ่านมา นอกจากสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ ทำให้พวกเราต้องหวาดกลัว หวาดระแวงแล้ว ทางวัดยังได้พาญาติโยมเดินทางเข้าไปในป่า บริเวณที่เรียกว่าบึงลับแล ปรากฏว่าญาติโยมหลายท่านไม่เคยชินกับการปีนป่ายขึ้นเขา ทำให้เกิดเป็นลมไปหลายราย
ในส่วนที่จะอยากกล่าวถึงในที่นี้ก็คือว่า เมื่อเวลาญาติโยมทั้งหลายเป็นลมไปแล้วก็ดี หรือเมื่อเวลาเจอเหตุการณ์การกวาดล้างบรรดาผู้เรียกร้องประชาธิปไตยก็ดี เรามักจะหวั่นไหว เกิดความกลัวเกรงขึ้นมาเสียก่อน
ความจริงการหวาดกลัวเป็นธรรมดาของสัตว์โลก แต่ว่าเราในฐานะนักปฏิบัตินั้น เมื่อเกิดความกลัว ก็ต้องปฏิบัติไปจนกว่าความกลัวนั้นจะสูญสลายไป
ส่วนอีกอย่างก็คือว่า เมื่อเวลาร่างกายเราเหน็ดเหนื่อยมาก ๆ ถึงขนาดเป็นลมเป็นแล้งไป ส่วนใหญ่แล้วเราไม่สามารถที่จะเกาะความดีได้ เพราะมักจะไปพะวงอยู่กับอาการที่เกิดขึ้น มักจะไปพะวงอยู่กับร่างกายของเรา โดยลืมเอากำลังใจเกาะความดีหรือเกาะภาพพระเอาไว้
ถ้าอย่างนั้นถ้าท่านตายตอนนั้นไป ก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมที่สร้างมาว่า กุศลคือความดีหรืออกุศลคือความไม่ดี อย่างไหนจะมีมากกว่ากัน?
ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือว่า เมื่อเวลาเราเป็นลมไป หรือเหน็ดเหนื่อยมาก ๆ
๑. เราลืมการภาวนา
๒. เราลืมภาพพระ
๓. เราลืมลมหายใจเข้าออก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2010 เมื่อ 15:25
|