อบรมที่เกาะพระฤๅษี วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๐
วันนี้ผมต้องเดินทางเหมือนเดิม เตรียมไปเรียนต่อ มีงานมีการอะไรก็ช่วยกันดู ๆ ไว้หน่อย เพราะว่าปล่อย
ท่านกวางคนเดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน
วันก่อนผมเรียนหนังสืออยู่
ท่านอาจารย์เฉลิมชัย* ถามว่า
“ผึ้งมีความดีอะไรบ้าง ?” พวกผมคิดกันหัวแทบแตก จนท่านอาจารย์เฉลยว่า
ผึ้งมีความดีคือ
ขยันหากิน ไม่บินสูงนัก รักความสะอาด ฉลาดสะสม นิยมสามัคคี พวกผมคิดกันได้ไม่ถึง ๓ ข้อ
เมื่อท่านอาจารย์อธิบายให้ฟังถึงความดีของผึ้ง ผมก็เลยมานึกว่า ในเรื่องของการปฏิบัติของพวกเรานั้น ก็อยู่ในลักษณะนี้ ผึ้งนั้น
ขยันหากิน ของเราเองถ้าในเรื่องกิน ก็คือ เกี่ยวกับอาหาร นั่นเป็นหน้าที่ของเรา คือ ต้องบิณฑบาต
แต่สถานที่นี้ไม่มีที่ให้บิณฑบาต ความขยันของเราที่ต้องไปเดินบิณฑบาตทุกวันอย่างสมัยอยู่
วัดท่าขนุน ตรงจุดนี้ไม่มี แต่ผมมานึกว่า นั่นเป็น
อาหารทางกาย ถ้าหากว่าเราต้องการ
อาหารทางใจ ก็ต้องขยันทำ ขยันปฏิบัติ
พวกท่านจะสังเกตได้ว่า
ถ้าหากเราทิ้งช่วงให้การปฏิบัติขาดลง ความฟุ้งซ่านจะเข้ามาทันที โดยเฉพาะท่านที่ยังไม่มีพื้นฐาน คำว่าไม่มีพื้นฐาน คือกำลังใจยังไปไม่ถึงระดับที่จะทรงตัวเองได้
ถ้าอย่างนั้นท่านเผลอเมื่อไร ขาดความขยันเมื่อไร โดนเล่นเอาแน่ ๆ ผมเองก็ดีใจว่า ตอนนี้พวกเรายังมีกรรมฐานรอบพิเศษ ก็คือ ก่อนสองทุ่ม พวกท่านยังมาทำกรรมฐานกันอยู่ ตรงจุดนี้จะช่วยพวกท่านได้เยอะ
ความขยันในการปฏิบัติ สมัยฆราวาสผมขยันมาก แต่ผมทำแล้วทิ้ง พอถึงเวลากำลังใจถอยไป กิเลสก็ตีกลับ ฟุ้งซ่านเหมือนเดิม แต่ผมเป็นคนชอบพิจารณาดูว่าเป็นเพราะอะไร ผมก็คอยสังเกตอารมณ์ใจของตัวเองดู
พอเริ่มตอนเช้า สร้างกำลังใจเต็มที่เลย กำลังใจแน่นปักมั่นเลย แทบจะไม่ถึงกลางวัน กำลังก็ตกแล้ว เวลาไปชนกับคนอื่นเขา ตอนทำการทำงานต้องไปรับอารมณ์ต่าง ๆ เข้ามา ตอนนั้นกำลังจะตกเร็ว ถอยเร็ว
ผมจึงใช้วิธีว่า ตอนช่วงพักเที่ยงก็รีบกินอาหาร ใช้เวลาไม่เกิน ๑๕ นาที แล้วผมก็ใช้เวลาที่เหลือก่อนเข้าทำงานตอนบ่ายโมงไปภาวนา เพื่อรักษากำลังใจเอาไว้ แล้วก็สังเกตดูต่อ ปรากฏว่าเหมือนกันก็คือ แทบจะไม่ถึงเย็น กำลังก็เริ่มตก
หมายเหตุ :
* พลตรี เฉลิมชัย เสียงใหญ่ ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์กองทัพบก อาจารย์ผู้บรรยายประจำวิชาพระพุทธศาสนากับภูมิปัญญาไทย ธรรมนิเทศ พระสุตตันตปิฎก ๑ พระสุตตันตปิฎก ๒ (อาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส ห้องเรียนวัดไร่ขิง)