อันดับต่อไปก็คือ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะภพใดภูมิใดก็ตาม เขาทั้งหลายเหล่านั้น ต้องการความสงบความร่มเย็นเป็นปกติ เขาต้องการอานิสงส์จากพวกเรา การสวดมนต์ทำวัตรก็ดี การทำกรรมฐานก็ดี จะส่งออกซึ่งกระแสเย็น ที่ช่วยไปดับร้อนในภพภูมิของเขาทั้งหลายเหล่านั้น ให้เขาได้รับความสุข
แม้ว่าจะเป็นการรับความสุขเฉพาะหน้าไม่ยั่งยืนก็ตาม แต่ถ้าหากว่าท่านใดสามารถอนุโมทนาในความดีของพวกเราได้ เขาก็จะได้รับความดีเท่ากับที่เราทำเอง ถ้าหากว่าเป็นแค่ทาน ศีล ภาวนาเบื้องต้น เขาก็จะเข้าถึงสุคติ คือความเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้
ถ้าหากว่าเป็นขั้นกลางคือสามารถทรงฌานได้ เขาก็จะเป็นพรหมได้ตามกำลังฌานที่เราทรงอยู่ และถ้าหากว่า เราทำถึงที่สุดได้ เราก็สามารถสงเคราะห์ให้เขาไปนิพพานได้เช่นกัน
เรื่องของการปฏิบัติภาวนา จริง ๆ แล้ว ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ แล้วทำไมท่านที่โมทนาถึงได้แบบเรา ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ทำ พระพุทธเจ้าสอนในสิ่งที่คัดค้านกันหรือ ?
จริง ๆ แล้วไม่ได้ค้านกันเลย เพราะว่านั่นเขาก็ทำเอง การจะสร้างกำลังใจของตน ให้ยินดีในความดีคนอื่นนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุด แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นสามารถทำได้ นั่นคือการที่เขาทำด้วยตัวเขาเอง ความดีของเราเป็นเพียงส่วนหนุนเสริมกำลังความดีของเขาเท่านั้น
ดังนั้น การที่จะทำความดี ไม่ว่าอยู่ในลักษณะใดก็ตาม ต้องทำด้วยตัวของเราเอง ต้องดิ้นรนด้วยตัวของเราเอง ไม่มีใครทำแทนกันได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2010 เมื่อ 18:21
|