ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 07-05-2010, 11:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default กลัวตายไม่จริง หรืออยากตายไม่จริง

กลัวตายไม่จริง หรืออยากตายไม่จริง


เมื่อวันอังคารที่ ๑ มิ.ย. ๒๕๓๖ เพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมกับผม ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ตอนท่านทำกรรมฐานตอนเที่ยง ท่านเริ่มต้นได้ดี คือ ปฏิบัติอยู่ในอานาปานุสติ ควบมรณาและอุปสมานุสติ และเจริญกายคตาควบอสุภะ ๑๐ ซึ่งล้วนเป็นกรรมฐานซึ่งนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่างประเสริฐ ทำให้เกิดผลมีอารมณ์เบื่อกาย เบื่อเกิด คือ นิพพิทาญาณขึ้น แต่ขาดปัญญาที่จะพิจารณาต่อไป ให้ลงตัวธรรมดาไม่ได้ เปรียบเหมือนบินสูงเกินไป เลยหาสนามบินลงไม่ได้ น้ำมันหมดเลยตกลงมาตาย (หลวงพ่อท่านพูดบ่อย ๆ ประโยคนี้)

อารมณ์ธรรมดา หากทำได้ทรงตัวจะมีผลทำให้เกิดอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ซึ่งเป็นเป้าหมายของนักปฏิบัติต้องการทุกคน ในการพิจารณาวิปัสสนาญาณ ๙ เมื่อหาสนามบินลงไม่ได้ นิวรณ์ก็เกิดเข้าครอบงำจิต ทำปัญญาให้ถอยหลัง (กลับมาโง่ใหม่) อารมณ์ฟุ้งเลวก็เกิด พาออกนอกลู่นอกทาง เข้าป่าเข้ารกไปว่า เรารอเข้าป่าไปตายแบบท่านหมอโกมารภัจจ์ (แต่มิได้ปฏิบัติแบบท่านหมอโกมารภัจจ์) โดยจิตคิดว่าเราเข้าป่าเพื่อจะได้ให้เสือมันกิน จิตจะได้ไปพระนิพพาน เทวดาท่านรู้วาระจิตของเรา ท่านเลยทำให้เราไม่พบสัตว์เลยในป่า เดินป่านานเข้า ๆ กายก็เริ่มหิว โรคหิวก็กำเริบหนักขึ้น ๆ จนทนไม่ไหว ตายก็ไม่ตาย เวทนาของกายก็มากขึ้นตามลำดับ จิตเลยโวย นึกถึงหลวงพ่อฤๅษีให้ท่านช่วยที หิวเหลือเกิน หลวงพ่อท่านก็มาพร้อมกับเสียงหัวเราะ แล้วสอนว่า

๑. “ไอ้ขี้หมา อยากตายแล้วทำไมกลัวหิววะ” (ก็ตอบท่านว่า ความหิวมันทรมานมากนี่)

๒. “ระยำ ไอ้กลัวหิวนั่นแหละ มันคือกลัวตายล่ะ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่กลัวตายไม่จริง คนไม่กลัวตายเข้าต้องไม่กลัวหิว คิดว่าไม่มีกินก็ดี ในไม่ช้าร่างกายนี้มันก็ตายไปเสียจากเรา ก็จบเรื่องกัน แต่จิตต้องจับพระนิพพานให้มั่นคง ไม่ใช่หิวแล้วอยากกินไอ้โน่นไอ้นี่ ตัวอยาก ๆ นี่แหละ ตัวพาเกิดอีกดีนักแหละ”

(นี่คือผลของการพิจารณาตัดขันธ์ ๕ โดยเริ่มด้วย เมื่อวิญญาณออกจากร่างกายแล้ว กายมันก็มีสภาพเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า กลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าที่มารุมล้อม ฉีกกายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ที่สุดจบลงที่โรคหิว)

เพื่อนของผมท่านยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ก่อนนอนท่านก็กำหนดจิต ระเบิดกายหยาบ ให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพื่อเอากายในหรืออาทิสมานกายไปกราบสมเด็จองค์ปฐม แต่พบหลวงพ่อท่านก่อน ท่านพูดว่า

๓. “สะใจหรือลูกที่ทำลายกายหยาบ ด้วยปฏิภาคนิมิตได้อย่างรุนแรงเช่นนั้น” (ก็รับว่าค่ะ ลูกอยากตาย)

๔. หลวงพ่อท่านก็ว่า “เฮ้ย จิตยังไม่บริสุทธิ์พอ หากตายตอนนี้ เอ็งมาพระนิพพานไม่ถึง” (ก็บอกท่านว่า ลูกเบื่อกำลังใจตนเองที่มันไม่เอาไหน)

๕. “ก็พระเตือนเอ็งแล้วว่า อย่าใจร้อน ค่อย ๆ เบื่อ ค่อย ๆ ปลด ใช้ปฏิภาคนิมิตระเบิดกายทิ้งก็ทำไปเถิด อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยให้เอ็งหายกลุ้มใจได้ หายเบื่อได้ชั่วขณะก็ยังดี จะเห็นร่ายกายมันตายในท่าไหน ในอสุภะ ๑๐ ก็ทำปฏิภาคได้เลย” (ก็ทำตามที่ท่านแนะนำ)

๖. “เอ็งอย่ามองแต่ซากเล็ก ๆ ตามปกติสิ จะให้เพลิดเพลินเอ็งต้องทำปฏิภาคนิมิต ขยายซากศพให้ใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้ หลวงพ่อท่านก็เมตตาทำภาพอสุภะ ๑๐ ให้กายที่ตายใหญ่โต อืด พอง ใหญ่โตเท่าภูเขา เหมือนซากยักษ์มหึมาที่นอนตายอืด ครู่หนึ่งก็เห็นหนอนตัวโต ๆ ขนาดขบวนรถไฟกำลังกัดกินซากศพ เห็นน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองไหล พร้อมกับหนอนมันกัดกินเซาะอวัยวะภายในให้หมดไปอย่างรวดเร็ว ให้ทำอย่างนี้ มันจะได้สนุกหายเบื่อไปได้บ้าง” (ก็ทำตามที่ท่านแนะนำ มันก็สนุกดี)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2010 เมื่อ 17:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา