ถาม : การที่เรายึดมั่นในธรรม ยึดมั่นในการปฏิบัติ ยึดไปยึดมากลายเป็นสักกายทิฏฐิและมานะ ซึ่งตรงนี้เป็นเพราะเราไปคิดว่า ธรรมนั้น หรืออารมณ์การปฏิบัตินั้นเป็นของเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใช่เลย
ถาม : ทีนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ไม่ว่าเราจะเข้าถึงธรรม ถึงอารมณ์ในตัวไหน ก็ต้องมีการพิจารณาลงที่ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น ?
ตอบ : ท้ายสุดก็ต้องคลายการยึดมั่นถือมั่นไป แม้กระทั่งในธรรมที่ปฏิบัติได้ ก็สักแต่เป็นดีชั่วเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ในเมื่อไปถึงตรงจุดนั้น ดีก็ไม่เกาะ ชั่วก็ไม่เกาะแล้ว ทำดีเพราะรู้ว่าดี ละชั่วเพราะรู้ว่าชั่ว
ถาม : อย่างเวลาเราอยู่ในอารมณ์กรรมฐานกองใด ณ เวลานั้น ทีนี้พอเราคลายออกมาเพื่อมารับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเพื่อออกมาปฏิสัมพันธ์ หรือเพื่อออกมาทำงานใดงานหนึ่ง พอเราเห็นว่างานนั้นเสร็จแล้ว เราก็กลับไปอยู่ตรงอารมณ์เดิมของเรา ถึงจะเป็นสมถะก็จริง แต่หนูมองว่าเป็นปัญญาด้วย เพราะเรารู้ว่า ถ้าปล่อยให้อยู่กับตรงนั้นนาน ๆ แล้ว จะมีการปรุงแต่งต่อไป
ตอบ : เป็นโลกียปัญญา เพราะต้องอาศัยกำลังสมถะในการช่วยป้องกัน ถ้าหากว่าเป็นโลกุตรปัญญา ในส่วนของปัญญาจริง ๆ ก็คือ เห็นแล้วปล่อยวางได้
แต่ว่าเราจำเป็นต้องทำอย่างนั้นไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่ปลอดภัย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2010 เมื่อ 03:01
|