"คืออย่างนี้ ผมบวชเณรเมื่ออายุ ๑๓ ปี บวชแล้วก็เรียนหนังสือท่องบาลี เรียนกันหนัก"
แหม ลูกหลานเอ๋ย เหมือนที่หลวงตาคิดขมวดไว้ในใจ เป๊ะเลย ฟังเอาเถิด !
"แต่ผมโชคดี มีครูบาอาจารย์ดี ท่านให้ผมเรียนปฏิบัติพระกรรมฐานไปด้วย ดูหนังสือไป สลับกับภาวนาไปตลอดเวลา อารมณ์ก็ไม่เสีย ดูหนังสือก็จำแม่น"
ท่านพูดช้า ชัดเจน น้ำเสียง สีหน้า ดวงตานี่...เล่าเหมือนเรื่องเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้
"บางครั้งก็ออกธุดงค์กับพระอาจารย์ เอาหนังสือใส่ย่ามติดตัวไปด้วย"
"มีอยู่ครั้งหนึ่งเดินทางกันไปด้านชายทะเล นั่งภาวนาอยู่ในที่สงัดนะ จิตมันบังเอิญลงร่องยังไงก็บอกไม่ถูก มันดิ่งสงบลงไป จนเหมือนนอนหลับ"
ลูกหลานเอ๋ย ถ้าเป็นหลวงตาละก็..จะต้องโม้โอ่องค์ให้รู้เสียบ้างว่าเรานี่เข้าฌาณได้นะ แต่หลวงพ่อสมเด็จไม่ใช่อย่างหลวงตา
"มันรู้สึกตัวอีกที รู้สึกว่าเหมือนเด็กที่ไหนมาปัสสาวะรดมือ รดหน้าตักเรา ลืมตาขึ้นดู งูตัวเบ้อเริ่ม ใหญ่ขนาดลำตัวเด็กเล็ก กำลังเลื้อยผ่านตักทับมือเราไป มันอุ่นมันร้อนไอตัวงู ก็ตกใจ ถอนใจหวาดหวั่น เท่านั้นแหล่ะ งูนั้นก็ตวัดหัวชูขู่ฟ่อเหมือนจะงับหัวเราเข้า ใจเราก็ยอมตาย เอาเถอะ ตายก็ตาย มันไปไหนไม่ได้แล้ว ตายขณะทำความเพียรก็เอา
พอใจสบาย งูก็เลื้อยไป พอลืมตาดู งูก็ชูหัวขู่เอาใหม่ ก็หลับตาไปใจสงบ งูก็เลื้อยต่อ สลับกันไปอย่างนี้ จนใจสบายจริง ๆ งูก็ไม่รู้หายไปไหน เอ้อ..งูนี่มันร้อนนะ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-11-2009 เมื่อ 14:59
|