"พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า นานขนาดไหน..? เพราะเกิดยากแสนยากที่สุด ท่านมาสั่งสอนสัตว์โลก เมื่อเวลาได้บรรลุธรรมถึงขั้นพระอรหัตภูมิเต็มตัวแล้ว เป็นศาสดาเต็มองค์แล้ว มองสัตว์โลก..ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาเพื่อสั่งสอนสัตว์โลก ตรัสรู้เพื่อสั่งสอนสัตว์โลก
พอตรัสรู้เรียบร้อยแล้ว มองดูสัตว์โลกแล้ว มืดแปดทิศแปดด้าน ทรงท้อพระทัย จะสั่งสอนไปได้ยังไง เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว ?
เห็นไหม..? ขนาดนั้นแหละ ท่านดูพวกเรา เรายังมัวเมาเกาหมัดกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ลืมหูลืมตา รื่นเริงบันเทิงกับมูตรกับคูถตลอดเวลา มันน่าสลดสังเวชไหม ?
เวลานี้ยังโอ่อ่าฟู่ฟ่าอยู่นะ เป็นบ้ากับยศกับลาภ กับสรรเสริญเยินยอ ให้เขานับหน้าถือตา อวดมั่งอวดมีอวดดีอวดเด่น อ๊วดด..ไปอย่างไม่มี ลม ๆ แล้ง ๆ หาเหตุหาผล หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ คือ กิเลสหลอกคนให้เป็นบ้ากับอันนี้ มันไม่มองดูธรรมนะ ธรรมเป็นของจริง เลิศเลอขนาดนี้กี่เท่าพันทวี สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอย่างที่เราดูฝูงหนอนมันอยู่ในส้วมนั่นล่ะ เพียงเราดูลงไปเท่านั้น มันเป็นยังไง..วิสัยหนอนกับเรา ?
ทีนี้วิสัยแห่งธรรมกับวิสัยของกิเลส ที่สกปรกสุดยอด วิสัยแห่งธรรมที่สะอาดสุดยอด ดูกัน..เป็นยังไง ? ก็เห็นกันอย่างงั้นชัดเจน..นั่นล่ะ..
นี่..โลกมันถึงไม่อยากมองดูนั้น มันมัวดูแต่ส้วมแต่ถานตลอดเวลา ไม่ว่าเขาว่าเรานะ อย่าไปตำหนิใครนะ หมายถึงหัวใจแต่ละดวง ๆ มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ถ้ากิริยาท่าทางออกมาแสดงประดับร้านว่าสวยว่างาม ว่าโอ่อ่าฟู่ฟ่า มีบ้านมีเรือน มีสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อย มีบริษัทบริวารมาก นี่..เอามาโอ่อ่าฟู่ฟ่าประดับร้าน แต่ภายในหัวใจเป็นไฟด้วยกันหมด..ฟังซิน่ะ..
เอาธรรมจับเข้าไปมันก็เห็นนะสิ ดูหัวใจดวงใดมันมีแต่ฟืนแต่ไฟ ด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความรีดความไถ ความเอารัดเอาเปรียบ มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา.."
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2024 เมื่อ 23:32
|