เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเราชัดเจนและตรงไปตรงมาแล้ว เรื่องศีลของพระก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ โดยเฉพาะท่านทั้งหลายอาจจะหนักใจว่า "รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัว แล้วเราจะไประงับอารมณ์เพศได้อย่างไร ?" ก็แสดงว่าท่านทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติตามไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถทรงสมาธิได้ตามปกติ กิเลสทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง หรือว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ย่อมโดนกำลังสมาธิกดให้ดับลงไปชั่วคราว เราก็พยายามประคับประคองให้สติของเรานั้นจดจ่อระมัดระวัง อย่าให้สมาธินั้นเคลื่อนนั้นคลายไปไหน ก็จะทำให้เราสามารถที่จะระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ในระยะหนึ่ง
ถ้าท่านใช้ปัญญาเพิ่มเติมในการพินิจพิจารณา จนกระทั่งเห็นว่ากามราคะนี้ก็ดี ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี นำแต่ความทุกข์ยากมาให้เรานับชาติไม่ถ้วน อย่ากระนั้นเลย ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ขึ้นชื่อว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์อื่นก็ดี เราไม่มีความปรารถนาอีกแล้ว
เมื่อถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่น เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด สภาพจิตก็จะยกตนขึ้นมาเหนืออำนาจของกิเลส ถ้าหากว่ายกตนขึ้นมาได้ในเบื้องต้น ท่านก็จะเป็นบุคคลที่ไม่ล่วงละเมิดศีลโดยเด็ดขาด ถ้าสามารถยกจิตขึ้นมาในเบื้องกลาง ท่านก็จะเป็นผู้ที่พ้นจากราคะ โลภะ โทสะไปเลย ถ้าสามารถยกจิตขึ้นได้สูงสุด ก็พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่พระนิพพาน
ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่มีปัญหาในเรื่องทั้งหลาย จนเป็นข่าวเป็นคราวกันทั่วไป สร้างความเสื่อมเสียให้กับญาติโยมเป็นอย่างยิ่งนั้น ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติตามยังไม่พอ ยังขาดความละอายชั่วกลัวบาป ทำให้สิ่งที่อยู่ในจิตในใจของตนนั้น แสดงออกมาในลักษณะที่ย่ำแย่กว่าปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
พระภิกษุสามเณรจึงต้องสังวรเอาไว้ว่า เราเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาเคารพบูชา ถ้าหากว่าท่านไม่ได้มีสิ่งหนึ่งประการใดที่เหนือกว่าชาวบ้านเขา แล้วชาวบ้านเขาจะเคารพบูชาได้อย่างไร ? จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะต้องตระหนัก และพยายามช่วยกันระงับกิเลสของตน อย่างน้อยก็ให้สงบลงชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิ ถ้าสามารถพิจารณาถอนจิตขึ้นจากหล่มของกิเลสได้ ไม่ว่าจะมากน้อยเท่าไร ก็เป็นคุณแก่ตัวของท่าน และพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งทั้งสิ้น
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2024 เมื่อ 02:38
|