หลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องศึกษาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หลัก ๆ ก็แค่ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น เพียงแต่ว่าทำให้จริง ถ้าหากว่าทำไม่จริงอย่างหนึ่ง ยังไม่รู้จักเบื่อหน่ายและเข็ดหลาบกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์อีกอย่างหนึ่ง เราก็จะไม่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
พูดง่าย ๆ ว่ายังไม่เห็นทุกข์ เห็นโทษ ของการดำเนินชีวิตอยู่ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้น จนหลับตาลงไป เราเดินอยู่บนกองทุกข์ตลอดเวลา ในเมื่อมองไม่เห็น ไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นโทษ เราก็ไม่คิดที่จะดิ้นรนหลีกหนี โดยเฉพาะในสิ่งดี ๆ เป็นสิ่งที่หลีกหนียากที่สุด เพราะว่าทุกคนต้องการ
ในการปฏิบัติธรรมนั้นดีก็เกาะไม่ได้ ชั่วก็เกาะไม่ได้ เกาะดีก็ติดดี เกาะชั่วก็ติดชั่ว ไปไหนไม่ได้ เพียงแต่ว่าสิ่งใดที่เป็นความดี สมมติทางโลกเขานิยมอย่างนั้น เราก็เร่งทำไปเรื่อย ทำดีจนถึงดีที่สุดเมื่อไร เราก็จะปล่อยดีไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนอย่างกับเราเดินขึ้นบันได เราก็เกาะราวบันไดไปเรื่อยเพื่อความมั่นคง พอขึ้นถึงชั้นบน เราเดินเข้าห้องไป ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าปล่อยราวบันไดตอนไหน
นั่นคือลักษณะของการทำดีจนถึงที่สุด แล้วท้ายที่สุด รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่วก็จบ ฟังดูง่ายนะ..ไปลองทำดูก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ทำวัตรก่อน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2024 เมื่อ 02:55
|