วิธีแก้ไขปัญหาส่วนหนึ่งก็คือหุบปากเงียบ ๆ ไว้ อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรที่เป็นเชิงลบ พอไม่พูดแล้วต้องพยายามหยุดคิดให้ได้ด้วย ทุกวันนี้ส่วนใหญ่พวกเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะได้อย่างนั้น อยากจะได้อย่างนี้ รู้อย่างนี้ที่ผ่านมาทำอย่างนั้นดีกว่า..รู้อย่างนี้ที่ผ่านมาทำอย่างนี้ดีกว่า..รู้อะไรไม่สู้รู้อย่างนี้..! แล้วทำไมไม่ทำปัจจุบันให้ดี..? แค่นั้นก็จบแล้ว มัวแต่ไปรู้อย่างนี้ให้เครียด ถ้าตราบใดที่เรายังหยุดคิดไม่เป็น เราก็ต้องพยายามคิดให้น้อยที่สุด
ส่วนที่ควรจะคิดก็คือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า คิดให้เห็นว่าจริงแท้แค่ไหน ?
ท่านบอกว่าทุกอย่างไม่เที่ยง..จริงไหม..?..คิดดูสิ
ทุกอย่างเป็นทุกข์..จริงไหม..?..คิดดู
ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา..จริงไหม..?..ลองคิดดู
แต่พวกเรามักจะไปคิดเรื่องที่ไม่ควรคิด ก็เลยกลายเป็นเพิ่มความทุกข์ให้กับตัวเอง เท่ากับว่าเรากระทืบตัวเองทุกวันแล้วบ่นว่าเจ็บเหลือเกิน ต้องให้คนอื่นช่วยกระทืบซ้ำใช่ไหมจะได้หายเจ็บ..?
ทุกอย่างให้ลงไปตรงจุดที่ว่า อตฺตนา โจทยตฺตานํ ให้กล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ อะไรเกิดขึ้นให้พยายามมองความผิดของตนเองให้เห็น ไม่ใช่อะไรเกิดขึ้นก็โทษแต่คนอื่น
อาตมภาพมีเพื่อนพระสังฆาธิการบางรูป พอเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในวัด โทษลูกน้องไว้ก่อน "ทำไมคุณทำอย่างโน้น ?" "ทำไมคุณทำอย่างนี้ ?" ไอ้ห่..ก็ที่เขาทำนั่น..มึงสั่งทั้งนั้น..! แต่ลูกน้องไม่กล้าเถียง ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนั้นเราจะพัฒนาตัวเองไม่ได้ เพราะว่ามองไม่เห็นความผิดตัวเอง ในเมื่อมองไม่เห็นก็แก้ไขไม่ได้
ส่วนที่ชัดเจนที่สุดก็คือการที่เราแบกตัวกูของกูเอาไว้เต็มที่เลย ก็คือกูต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน คนอื่นผิดล้วน ๆ ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้โอกาสปรับปรุงตัวจะไม่มี เพราะไม่รู้ว่าผิดอะไร แล้วขณะเดียวกันที่แย่กว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าที่ถูกต้องทำอย่างไร..เจริญ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2024 เมื่อ 12:01
|