๑๙. เห็นแจ้งโดยธรรมชาติ
หลังจากฉันอาหารเช้าวันหนึ่ง พระอาจารย์สิงห์ได้ถามสามเณรแหวนว่า " ชอบกรรมฐานมากหรือ จัวน้อย " (จัว เป็นคำอิสานใช้เรียกสามเณร)
สามเณรแหวนพนมมือตอบนอบน้อมว่า " กระผมชอบความเงียบสงัด ชอบพิจารณาต้นไม้ ใบหญ้า แล้วคิดเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์และสัตว์ แล้วเห็นว่าธรรมชาติกับใบไม้ใบหญ้านี้คล้ายชีวิตคนเรา มีเกิดมีดับ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย ยิ่งคิดยิ่งพิจารณาก็มีความเพลิดเพลินเจริญใจ เกิดสติปัญญาแปลก ๆ ผุดขึ้นมาให้คิดให้ขบ เหมือนน้ำไหลรินไม่ขาดสาย "
พระอาจารย์สิงห์ฟังแล้วเห็นอัศจรรย์ อุทานในใจว่า เณรน้อยรูปนี้มีอารมณ์วิปัสสนา ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ทันได้สอนเลย เป็นปัญญาเห็นแจ้งซึ่งสภาวะธรรมโดยธรรมชาติคือ เห็นชาติ ชรา มรณะ ผู้เห็นแจ้งอย่างนี้เรียกว่าเริ่มมองเห็นมรรค ผล นิพพานได้รำไรแล้ว
พระอาจารย์สิงห์รู้สึกยินดี กล่าวกับสามเณรแหวนว่า " จัวน้อย ปฏิบัติชอบแล้ว ถูกทางแล้ว การปฏิบัติธรรมถ้าเราได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ย่อมจะเปลี่ยนจิตใจเราให้ไปอยู่ในลักษณะที่จะเข้าถึงธรรมชาติ รู้จักความจริงตามธรรมชาติ การเข้าถึงธรรมะก็ง่ายเข้า
เปรียบเหมือนต้นไม้ในภาพเขียน ย่อมจะไม่เหมือนกับต้นไม้จริง ๆ ในป่าฉันใด ปริยัติกับการปฏิบัติก็ฉันนั้น
ปริยัติเปรียบได้กับต้นไม้ในภาพเขียน ส่วนการปฏิบัติเปรียบเหมือนต้นไม้ในป่าจริง ๆ
พระพุทธเจ้าท่านประสูติท่ามกลางธรรมชาติ กลางดิน โคนต้นไม้ ท่านตรัสรู้ที่พื้นดิน ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ท่านปรินิพพานที่ใต้ต้นไม้ กลางพื้นดินระหว่างโคนต้นไม้สองต้นในสวนป่าอุทยานแห่งหนึ่ง
ธรรมชาตินี้แหละช่วยให้คนเรามีจิตใจสงบ เมื่อมีจิตใจสงบแล้ว การศึกษาไม่ว่าจะเป็นทางธรรมชาติ หรือทางใดก็บรรลุได้ดียิ่งขึ้น "
สามเณรแหวนได้สดับอรรถธรรมที่พระอาจารย์สิงห์เทศน์โปรดแล้ว ก็ให้มีความอิ่มเอิบ ชื่นบานใจ มั่นใจในหนทางที่ตนดำเนินยิ่งขึ้น เห็นว่าการที่ได้บวชเรียนสละความสุขทางโลกนี้เป็นการดำเนินที่ถูกทางแล้ว มองเห็นทางวิมุติสุขหรือความหลุดพ้นสำหรับผู้เดินตามรอยพระพุทธองค์ได้รำไรอยู่ไกลโพ้น หากวาสนาบารมีค้ำชูเราคงจะได้พบกับวิมุติสุขในวันข้างหน้าอย่างแม่นมั่น
นี่แสดงให้เห็นว่า หลวงปู่แหวนท่านเกิดมาเพื่อที่จะเป็นสมณะ นักบวชผู้แสวงหาบุญตามรอยบาทพระพุทธเจ้าโดยแท้ มีมโนปณิธานแน่วแน่ต่อการปฏิบัติธรรมน่าสรรเสริญ
|