ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 02-04-2024, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,692
ได้ให้อนุโมทนา: 152,017
ได้รับอนุโมทนา 4,417,935 ครั้ง ใน 34,282 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านทั้งหลายที่อยู่กันเก่า ๆ ก็จะเห็นว่า ทันทีที่เป็นเจ้าอาวาส กระผม/อาตมภาพก็ประกาศกฎเหล็กเลยว่า "วัดท่าขนุนห้ามมีทีวี" เพราะว่าทั้งสามเณร แม่ชีและเด็กวัด ไม่ทำงานทำการอะไรทั้งนั้น นอนเฝ้าหน้าจอกันหมด แล้วจากวันนั้นจนบัดนี้ วัดเราก็ไม่มีทีวี แต่ว่าช่วงหลังโทรศัพท์มือถือมีมากขึ้น ก็มีคนดูหนังจากโทรศัพท์มือถือ อันนั้นต้องบอกว่าเขาทำตัวเขาเอง ก็คือเรารู้อยู่ว่า เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่พระเราควรจะทำ

ต่อให้เป็นหนังทั่วไป หรือว่าหนังสารคดีก็ตาม ก็เป็นความบันเทิงประเภทหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับยาพิษ พอเรารับเข้าไปแล้ว ก็อยากจะรับอีก สิ่งที่เราพยายามสร้างสมมา จะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ก็พังบรรลัยหมด..! แล้วพอท้ายสุดก็จะฟุ้งซ่านอยู่ไม่ได้ หรือไม่ก็อย่างหลายวัด คือดูหนังโป๊กันครึกครื้นไปเลย..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่กระผม/อาตมภาพตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก็คือไม่ให้มีโทรทัศน์ไปเลย เรื่องนี้ถ้าหากว่าไปบอกกล่าวข้างนอก ทุกวัดก็จะงงกันหมด เพราะว่าหลายวัดมีโฮมเธียเตอร์ด้วย..! มีอยู่วัดหนึ่งมีสามเณรเรียนบาลีนักธรรมอยู่ ๒๐ กว่ารูป มีจอคอมพิวเตอร์ให้สามเณรเล่นเกมส์กันทุกรูป ครบถ้วนเลย เปิดเป็นห้องเกมส์โดยเฉพาะ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้คัดค้าน อยากจะทำอะไรก็ทำไป นั่นวัดของคุณ คุณมีอำนาจ แต่ถ้าเป็นวัดผมไม่มีอย่างนี้..!

เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เรื่องของพระธรรมวินัย ถ้าเราตึงไว้ก่อน ถึงเวลาหย่อนก็จะพอดี แต่ถ้าหากว่าไปหย่อนแต่แรก พอเราผ่อนก็จะยาน ความเป็นระเบียบวินัยก็จะไม่มีเหลือ..!

ท่านจะเห็นว่าหลายต่อหลายแห่งที่เป็นสำนักเรียน พระภิกษุสามเณรเขากินอาหารเย็นกันเป็นปกติ ครูบาอาจารย์ใช้คำว่า "พระเรากินอาหารเย็น แค่ต้องอาบัติปาจิตตีย์เท่านั้น กินให้อิ่มแล้วไปปลงอาบัติ ก็จบแล้ว..!"
ลักษณะนี้คือการสอนลูกศิษย์ให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ..!

การที่เราละเมิดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้าม ไม่ผิดนั้นไม่มี และโดยเฉพาะความผิดที่หนักที่สุดก็คือ รู้แล้วขืนทำ พูดง่าย ๆ ว่าใจด้านหน้าด้าน รู้ว่าผิดก็ยังจะทำ ลักษณะอย่างนั้น คุณอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเดี๋ยวก็ไปละเมิดอาบัติที่หนักกว่านั้นได้

ดังนั้น..ในเรื่องของการขัดเกลาตนเอง อย่าได้ผ่อนเป็นอันขาด จะผ่อนปรนก็ผ่อนปรนกับคนอื่น แต่ให้เข้มงวดกับตนเอง อยู่คนเดียว ทำตัวเหมือนอย่างกับอยู่ต่อหน้าเพื่อนฝูงทั้งวัด คือต้องระมัดระวังไว้เอาไว้ อย่าละเมิดศีล อยู่กับเพื่อนฝูงทั้งวัด ต้องทำตัวเหมือนกับอยู่คนเดียว คือทรงสมาธิอยู่กับความสงบให้ได้ ถ้าใครทำไม่ถึงตรงนี้ ขอบอกว่าอยู่ยาก..!

ส่วนสามเณร
กระผม/อาตมภาพไม่ได้หวังอะไรหรอก แค่บุญกุศลที่ตัวเองได้เดินจงกรม ได้ภาวนา ได้สวดมนต์ทำวัตร ได้บิณฑบาต ได้ช่วยทำความสะอาดวัด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นการขัดเกลาในเบื้องต้น และเป็นบุญกุศล ต่อไปถ้าหากว่าสึกหาลาเพศไป อย่างน้อยผลบุญนี้ก็ช่วยให้ทางชีวิตของตนเองสะดวกกว่าคนอื่น

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2024 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา