ตรงนี้เราต้องทำความเข้าใจกันหลายประเด็น ประเด็นแรกก็คือ สมัยพุทธกาลหรือว่าสมัยต่อ ๆ มาอีกระยะหนึ่ง เขาถือว่าการยืนเป็นการแสดงความเคารพ แต่ในสมัยปัจจุบันของเรานั้น การนั่ง โดยเฉพาะนั่งพับเพียบ ถือว่าเป็นการแสดงความเคารพ ดังนั้น..ถ้าภิกษุยืนอยู่ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ถือว่าญาติโยมไม่แสดงความเคารพ
ข้อต่อไปก็คือ การแสดงธรรมกับการให้พรนั้นต่างกันมาก การแสดงธรรมก็คือบอกกล่าวถึงหลักการประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งที่ดี ๆ แก่บุคคลนั้น ๆ ส่วนการให้พร คือการตั้งเจตนาไว้ว่า ขอให้บังเกิดสิ่งที่ดี ๆ ขึ้นในชีวิตของบุคคลนั้น ต่างกันมากนะครับ แล้วคราวนี้คณะสงฆ์อำเภอนั้นพิจารณาจากตรงไหนว่าเป็นการแสดงธรรม ไม่ใช่การให้พร ? ก็คือตรงจุดที่บาลีกล่าวว่า
อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง บุคคลผู้มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ทรงศีล
วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ ย่อมเป็นบุคคลผู้เจริญด้วยธรรม ๔ ประการ
อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ก็คือ มีอายุยืน มีวรรณะสูง มีความสุข มีกำลัง
อยากจะเรียนถามทุกท่านว่า "แปลออกกี่ท่านครับ ?" นี่ขนาดเราเป็นพระเป็นเณรนะครับ มีกี่ท่านที่แปลออก ? ถ้าหากว่าเรียนบาลี แค่ประโยค ๑ - ๒ ไม่ถึงประโยค ๓ นี่ บางทียังแปลไม่ออกเลยนะครับ ในเมื่อแปลไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ ถือว่าเป็นการแสดงธรรมได้ไหมครับ ? ไม่ถือว่าเป็นการแสดงธรรมนะครับ ญาติโยมที่ไม่เข้าใจก็ยกมือสาธุ รับเป็นพรขลัง ๆ ไป เพราะว่าเป็นภาษาบาลีเท่านั้น
ประการต่อไปก็คือ ผู้ที่ให้พรก็ไม่แน่ว่าจะให้พรบทนี้ทุกครั้ง อย่างกระผม/อาตมภาพเอง ถึงเวลาก็ "อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ" ก็คือ ขอความสำเร็จตามที่เธอปรารถนา จงบังเกิดขึ้นโดยพลัน นั่นใช่การแสดงธรรมไหมครับ ? นี่คือการให้พร หรือไม่ก็ตัดแค่ "อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง" ขอให้เป็นผู้เจริญด้วยอายุ เจริญด้วยวรรณะ มีความสุข มีกำลัง ไม่ใช่การแสดงธรรมนะครับ
ประการต่อไปครับ พระของเราต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแน่นอน แล้วนอกจากนั้นเรายังมีกฎหมายบ้านเมืองที่ต้องปฏิบัติตาม นี่เป็นคำสั่งพระพุทธเจ้าเลยนะครับ ก็คือ "อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราให้เธอทั้งหลายคล้อยตามต่อพระราชา" คำว่าพระราชาในโบราณก็คือกฎหมายนะครับ เพราะว่าท่านบอกให้เป็นก็เป็น บอกให้ตายก็ตาย การคล้อยตามพระราชา คือคล้อยตามพระราชประสงค์ คือคล้อยตามกฎหมายนั่นเอง
ในปัจจุบันของเรานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้กฎหมายผ่านตุลาการ ก็คือพระราชอำนาจของพระองค์แบ่งออกเป็น ด้านการปกครองก็คือผ่านรัฐสภา ด้านกฎหมายบ้านเมืองก็ผ่านทางตุลาการ ในเมื่อเรามีศีลที่ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มีกฎหมายบ้านเมืองที่ต้องประพฤติปฏิบัติตามแล้ว เรายังมีจารีตประเพณีที่ต้องทำตามอีกด้วยนะครับ เพราะว่าส่วนใหญ่เขาทำกันอย่างนั้น จนกลายเป็นข้อยึดถือคือจารีตไปแล้ว
ในเรื่องของจารีตประเพณี เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างเช่นการแสดงออกซึ่งการเคารพพระ มีตั้งแต่ อัญชลี (พนมมือ) วันทา (น้อมไหว้) อภิวาท (กราบลง) ทำต่างจากนี้เมื่อไร เขาจะว่าเราไม่เคารพ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2024 เมื่อ 03:52
|