ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 16-01-2024, 01:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อไม่ได้ตามความต้องการของตนเอง ญาติโยมก็มักจะฟันธงว่าพระเอาแต่เข้าข้างกัน ไม่มีความจริงใจในการจัดการแก้ปัญหาของคณะสงฆ์ ทำให้เป็นที่เสื่อมศรัทธา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองก็เห็นว่า ปัจจุบันนี้บรรดาญาติโยมทั้งหลายก็มักจะเป็นผู้รู้ระดับ "ไอ้รอบโลก" กันแทบทั้งนั้น แต่ทำไมความรู้ของท่านจึงเข้าไม่ถึงในเรื่องของสงฆ์ก็ไม่อาจจะทราบได้ ?

อย่างเช่นว่ามีบางคนที่กระผม/อาตมภาพเห็น เมื่อมีผู้นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องของท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชย ในการช่วยเหลือบุคคลอื่นที่ลำบากเดือดร้อน เมื่อนำเสนอออกมาก็เข้าไปคอมเม้นท์ว่า "สังคมได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?"

กระผม/อาตมภาพเองนั้น ถ้าหากว่าให้พูดตามภาษาของตนเอง ก็จะพูดแรง ๆ ว่า "ถ้ามึงรู้จักใช้หัวแม่ตีนคิด มึงก็จะรู้เองว่าสังคมได้อะไร..!"
ไม่ใช่ไปตั้งคำถามในลักษณะที่ว่า กูดี กูประเสริฐ กูเป็นผู้เลิศ กูถึงตั้งคำถามว่าตรงนี้กูจะได้อะไร ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ มีแต่แบกกิเลสไปชนกัน อยู่ในลักษณะ "น้ำล้นแก้ว" คนอื่นไม่สามารถที่จะเอาอะไรเทลงไปได้ เพราะว่ามีแต่จะไหลทิ้งหมด จึงทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราว เป็นข่าวกันขึ้นมา

ขณะเดียวกัน
ความเคารพในพระพุทธศาสนาของคนในปัจจุบันนี้ ก็ขาดการปลูกฝังให้เห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อันดับแรกเลย ร้ายกาจที่สุดก็คือ ญาติโยมเป็นจำนวนมาก ที่อ้างว่าตนเองไม่ต้องรักษาศีล เพราะว่าไม่มีศาสนา ไม่เห็นประโยชน์ในการนับถือศาสนาเลย แต่นี่ก็ยังพอทน

ระดับต่อไปคือ
ญาติโยมที่รักษาศีล แต่ว่าไม่สามารถที่จะรักษาได้ เพราะว่าสภาพจิตใจของตนไม่เข้มแข็งพอ จึงไม่เห็นประโยชน์ของศีล อีกระดับหนึ่งก็คือ ไม่เคยปฏิบัติสมาธิภาวนา หรือว่าปฏิบัติแล้ว เข้าไม่ถึงความสงบระงับ จนทำให้ไม่เห็นคุณประโยชน์ของสมาธิภาวนา

ในเมื่อไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ก็ไม่ต้องไปหวังว่าเขาทั้งหลายเหล่านี้จะมีการเข้าถึงการภาวนา หรือว่าเข้าถึงปัญญาอย่างแท้จริงได้ ดังนั้น..เมื่อตนเองขาดการปลูกฝัง ไม่ได้ทดลองกระทำจนเห็นผล จึงทำให้ไม่เห็นประโยชน์ของพระพุทธศาสนายังไม่พอ ยังมีการต่อต้าน เมื่อเห็นคนอื่นทำความดี ก็อยู่ในลักษณะ "บูลลี่" ให้อีกต่างหาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สังคมบ้านเราจึงมักจะมีแต่ปทปรมะ คือผู้ที่มากด้วยบทบาท ประมาณว่า รู้มากจนกระทั่งไม่ยอมเปลี่ยนแนวความคิดของตน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2024 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา