เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ภาพพจน์ของคณะสงฆ์เรานั้น ต้องบอกว่าตกต่ำมาก เนื่องเพราะว่าญาติโยมมักจะกล่าวหาว่า "ถึงเวลาพระก็เข้าข้างกัน ถึงเวลาพระก็ช่วยเหลือกัน ไม่มีความจริงใจในการที่จะจัดการแก้ปัญหาให้เด็ดขาดลงไป"ซึ่งญาติโยมทั้งหลายที่กล่าวหาเช่นนั้น ก็มักจะไม่มีความเข้าใจเรื่องของพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาว่า แม้แต่การล่วงละเมิดทางพระธรรมวินัย ที่ใช้ภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ว่า ศีลขาด หรือถ้าภาษาพระว่าต้องอาบัตินั้น มีตั้งแต่ระดับอเตกิจฉา คืออาบัติที่แก้ไขไม่ได้ อย่างเช่นว่า ปาราชิก ๔ เป็นต้น และสเตกิจฉา คืออาบัติที่แก้ไขได้ อย่างเช่นสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาษิต เป็นต้น
ในเมื่อไม่เข้าใจตรงนี้แล้ว ก็ย่อมไม่เข้าใจถึงอธิกรณสมถะ คือวิธีการระงับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้ถึง ๗ ประการด้วยกัน มีตั้งแต่สัมมุขาวินัย ก็คือต้องถึงพร้อมด้วยคณะสงฆ์ ถึงพร้อมทั้งโจทก์และจำเลย และถึงพร้อมผู้ตัดสินที่ทรงทั้งความรู้และคุณงามความดี
สติวินัย เป็นการที่คณะสงฆ์ประกาศยกให้บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายว่า เป็นผู้มีสติสมบูรณ์ แม้ว่าจะละเมิดจริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่สร้างความเสียหายให้เกิดกับตนเอง หรือว่าคณะสงฆ์
อมูฬหวินัย เป็นการที่สงฆ์สวดประกาศให้แก่ภิกษุผู้ที่เคยเป็นบ้า เมื่อรักษาหายจากอาการเป็นบ้านั้นแล้ว ประกาศให้รู้ว่าสิ่งที่ท่านทำในขณะที่เป็นบ้านั้น พระพุทธเจ้าไม่นับว่าเป็นอาบัติ คือไม่ใช่เรื่องที่ศีลขาด เพราะว่ากระทำไปในขณะที่ขาดสติ เป็นต้น
แล้วยังมีเยภุยยสิกา ก็คือการถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
ตัสสปาปิยสิกา ให้ลงโทษกันไปตามลำดับหนักเบา อย่างเช่นว่าตำหนิโทษ ภาคทัณฑ์ ตลอดจนกระทั่งการลงโทษไปตามลำดับ
ติณวัตถารกวินัย เป็นการไกล่เกลี่ยกัน ให้ยอมความกัน ลักษณะคล้าย ๆ กับศาลในปัจจุบันนี้ ที่มักจะมีการไกล่เกลี่ยกันเสียก่อน เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2024 เมื่อ 02:36
|