อย่างสมัยก่อนมีวัดพระธรรมกายที่คลอง ๓ ปทุมธานี ถึงเวลาจัดงานทีหนึ่ง มีคนไปกันเป็นแสน ๆ ทำอย่างไรที่พุทธมณฑลของเรา ไม่ต้องถึงระดับแสน เอาแค่หลายพันก็พอ คืออย่างน้อย ๆ เดินเข้าไปแล้วไม่รู้สึกว่ากว้างใหญ่ไพศาล ยิ่งถ้าเห็นอุบาสกอุบาสิกาในชุดขาว สวดมนต์ไหว้พระบ้าง เดินจงกรมบ้าง นั่งภาวนาบ้าง ก็จะเป็นเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกว่าสมกับเป็นเมืองพุทธ
ไม่เช่นนั้นแล้วอย่างทุกวันนี้ บ้านเราเมืองเราต้องบอกว่า มีพระพุทธศาสนาเป็น Soft Power ที่มีพลังน้อยมาก ๆ ถ้าเอาเรื่องของหลักธรรม ศรีลังกาเหนือกว่าเรามาก เพราะว่าพวกเขาฝึกตรรกวิภาษ ก็คือการโต้วาทีทางพระพุทธศาสนาเอาไว้ ใครข้องใจไปสอบถาม สามารถตอบได้ทุกแง่ทุกมุม ถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องของสมาธิสมาบัติ คนก็จะรู้จักแต่สายวัชรยานของทิเบตเสียมากกว่า
ถ้าจะเอาเรื่องของคนเข้าวัด เราก็สู้ศรีลังกาและพม่าไม่ได้ เนื่องเพราะว่าศรีลังกานั้น จะแต่งชุดขาวไปวัดกันทุกคน แม้กระทั่งนักเรียนก็ใส่ชุดขาวไปโรงเรียน ทางพม่านั้น คนเข้าวัดเหมือนบ้านเราแย่งกันไปเดินห้างที่เปิดใหม่ แม้กระทั่งประเทศลาว ก็ยังมี Soft Power อย่างเช่นว่าเมืองหลวงพระบาง มีการใส่บาตรพระภิกษุสามเณร ๑๕ วัด ซึ่งพระภิกษุสามเณรเป็นร้อย ๆ รูป จะมารวมกันให้บรรดานักท่องเที่ยวได้ใส่บาตร
เอ่ยมาถึงแค่นี้ เราก็เห็นแล้วว่า ถ้าหากจะยกประเทศไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกจริง ๆ ยังต้องเหนื่อยอีกมาก ทำอย่างไรจะให้ทุกคนเข้าวัดในวันพระโดยพร้อมเพรียงกัน ? ไม่ต้องแต่งชุดขาวก็ได้ หรือ ทำอย่างไรจะให้นักท่องเที่ยวไปใส่บาตรกันทุกวัน ?
ทำอย่างไรที่ใครมีข้อข้องใจในแนวการปฏิบัติธรรม หรือว่าเนื้อหาในพระไตรปิฎกแล้ว เรามีพระเถระ หรือว่าพระภิกษุสงฆ์ทั่วไปที่สามารถแก้ไขและตอบปัญหาได้ทุกเรื่อง ? ไม่อย่างนั้นแล้ว ก็เสียทีที่ประเทศไทยของเราได้รับการยกย่องเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2023 เมื่อ 01:17
|