ดังนั้น..เราก็ต้องมองให้เห็นว่า ทุกวันนี้เราเอง ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่บนกองทุกข์ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลงไป ไม่มีวินาทีไหนที่มีความสุขอย่างแท้จริง ถ้าหากว่ามองเห็นอย่างชัดเจนแบบนี้ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย สภาพจิตจะค่อย ๆ ถอนจากการยึดการเกาะในอัตภาพร่างกายนี้ ถอนออกจากความปรารถนาที่จะมาเกิดใหม่ เพราะว่ามีแต่ความทุกข์
ถอนออกมาได้มาก ก็เป็นพระอริยเจ้าระดับสูงมาก ถอนออกมาได้น้อย ก็เป็นพระอริยเจ้าระดับกลางหรือระดับต่ำลงมา ถ้าสามารถละวางได้ทั้งหมด เราก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
ดังนั้น..ในเรื่องของความอดกลั้นอดทน จึงต้องมีปัญญาประกอบ มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักในการยึดถือและปฏิบัติ เราจึงจะสามารถใช้ไปในทางที่ถูกต้อง ไม่หลงติดอยู่จนเสียเวล่ำเวลาไปนาน อาจจะตายเปล่าแบบเสียชาติเกิด เพราะว่าไม่ทันจะได้ความดีอะไร ก็หมดอายุขัยเสียก่อน จึงเป็นเรื่องที่นักปฏิบัติทั้งหลายจะพึงสังวรเอาไว้ว่า ความตายมาถึงเราได้ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าหากว่าตายลงไปแล้ว เราจะไปไหน ?
หลังจากนั้นก็มาทบทวนในเรื่องของศีล เร่งรัดในเรื่องของสมาธิ และใช้ปัญญาในการที่จะพินิจพิจารณา จนกระทั่งเห็นสภาพที่แท้จริงของร่างกายนี้ ของโลกใบนี้ ของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ว่าหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ และท้ายที่สุด ก็ไม่มีอะไรหลงเหลือให้เรายึดถือมั่นหมายได้ ถ้าเห็นได้ชัดเจน สภาพจิตถอนจากการยึดเกาะ ท่านทั้งหลายก็จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารไปเอง
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2023 เมื่อ 00:55
|