ดังนั้น..นักปฏิบัติต้องระวังตรงจุดนี้เป็นอย่างสูง เพราะไม่ว่าท่านจะยึดดีหรือว่ายึดชั่ว ก็ไปพระนิพพานไม่ได้ทั้งคู่ ทำอย่างไรที่เราจะวางกำลังใจของเราให้อยู่กลาง ๆ ในตอนแรกก็ยึดความดีก่อน เพื่อความไม่ประมาท อย่างน้อยถ้าไปไม่ถึงพระนิพพาน เราเกาะดีได้ ก็มีสุคติเป็นที่ไป แต่ว่าพอไปถึงตอนท้าย เมื่อดีถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ดีก็ต้องเลิกเกาะ
เปรียบเหมือนกับเราเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ต้องเกาะราวบันไดเพื่อความมั่นคงและไม่ประมาท แต่เมื่อเราถึงชั้นบน พ้นจากบันไดแล้ว บางทีเราไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำไป ว่าเราปล่อยราวบันไดตอนไหน
ดังนั้น..พวกท่านทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความเคยชินแบบใหม่ ความเคยชินแบบนี้ก็คืออย่างเช่นว่า ท่านถูศาลา กวาดพื้น ทำหน้าที่เวรยาม เดินบิณฑบาต ทำวัตรสวดมนต์ เมื่อเสร็จจากภารกิจนั้นแล้ว ให้สังเกตดูกำลังใจที่เราปล่อยวาง การปล่อยวางในที่นี้ก็คือ "เสร็จเสียที หมดภาระเสียที จบกันเสียที" สังเกตอารมณ์ตัวนี้ได้แล้ว ก็ให้พยายามที่จะปล่อยในลักษณะนั้นบ่อย ๆ แล้วเราจะเคยชินกับการไม่ยึดเกาะ จะอยู่ในลักษณะของ "ดีก็ทำ ชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว" คราวนี้ถึงจะหลุดพ้นไปได้จริง ๆ
แต่ที่โบราณาจารย์หรือครูบาอาจารย์สอนเรามา ไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง หรือว่าตัวบทพระคาถาใด ๆ ก็ตาม ก็เพื่อที่จะโยงกำลังใจของเราเข้าหาศีล สมาธิ ปัญญา แล้วหลังจากนั้น ในเมื่อเราเกาะดีด้วยความไม่ประมาท ตั้งจิตเอาไว้ว่าเป้าหมายสุดท้ายของเราคืออะไร แล้วท้ายสุดแม้แต่เป้าหมายนั้นก็ลืมเสีย ถ้าจิตดีถึงที่สุด สะอาดถึงที่สุด เราก็จะตรงไปสู่เป้าหมายนั้นเอง
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ทุกท่านแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2023 เมื่อ 02:48
|