แล้วต่อไปก็ยังมี 'สัมมาสติ' คือ ให้ตั้งสติดำเนินอยู่ในมหาสติทั้ง ๔ ก็คือ พิจารณาใน..
กาย ก็คือ รูปร่างกายนี้
เวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์ หรือว่าไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดกับกายนี้
สัญญา คือ ความรู้ได้หมายจำ ซึ่งต้องอาศัยการทรงสมาธิ ควบคุมความคิดของตนเอง ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปกับอดีต หรือฟุ้งซ่านไปในอนาคต
สังขาร คือ ความปรุงแต่งของใจ
ปกติรัก โลภ โกรธ หลงมีเต็มตัวทุกคน แต่ถ้าเราไม่คิด..รัก โลภ โกรธ หลงก็ไม่เกิด การจะหยุดความคิดได้ คือ..รักษาใจอยู่กับปัจจุบันขณะตรงหน้า ถ้าใจอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ความรัก โลภ โกรธ หลงทั้งหมดจะดับลงโดยอัตโนมัติ ในเมื่อเป็นเช่นนี้..องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์จึงได้พิจารณาต่อไปถึงข้อสุดท้าย ก็คือ..'สัมมาสมาธิ'
อุตส่าห์ทำไปจนถึงสมาบัติที่ ๘ ปรากฏว่าทำเกิน..! เหมือนคนยืดคอเลยช่องที่ต้องการจะมองหาสิ่งของ ย่อมไม่สามารถที่จะเห็นอะไรได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ลดกำลังจากสมาบัติ ๘ ลงมาอยู่ที่ฌาน ๔ เรียกว่าเป็น 'อัปปนาสมาธิ' ระดับรูปฌานที่ ๔ แล้วพิจารณาตัดกิเลสทั้งหลายเด็ดขาดลงไปในวาระนั้น องค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 01-08-2023 เมื่อ 21:30
|