๔. เมื่อปลงหรือพิจารณาอาหารจนเป็นอสุภะ แล้วจิตเราไปยึดว่ามันเป็นอสุภะ ทุกข์ใจก็เกิดขึ้นตรงนั้น (เกิดอัตตาเป็นตัวตนขึ้นทันที) มีใครบ้างที่พิจารณาอาหารจนเห็นเป็นสิ่งปฏิกูล มีหนอนขึ้นเต็มไปหมด แล้วกินสิ่งเหล่านั้นเข้าไปได้ใหม่ ๆ จะเหมือนกันหมด คือ มีความรู้สึกรังเกียจ บางคนคลื่นไส้จะอาเจียน เพราะไม่พิจารณาต่อไปให้ครบวงจรว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีวงจร หรือมีวัฏฏะของมันทั้งสิ้น (สสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลก วัตถุธาตุใด ๆ ในโลกล้วนประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป วนเวียนกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่สูญหายไปไหนหรอก)
๕. ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า โดยธรรมชาติหรือธรรมดา ทุกสิ่งในโลกนี้ มันก็วนเวียนเป็นวัฏฏะของมันอยู่อย่างนี้แหละ หมูกินขี้คน ขี้เป็นอาหารของหมู หมูมันชอบมาก แต่เมื่อเข้าท้องหมูแล้ว อาหารนั้นก็เคลื่อนหรือเปลี่ยนสภาวะไปตามลำดับ เครื่องจักรของหมูสามารถเปลี่ยนขี้คน หรือสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย ให้กลายเป็นเนื้อหมู คือเปลี่ยนจากสภาวะหนึ่งมาสู่อีกสภาวะหนึ่งอย่างอัศจรรย์ แต่ผู้ที่รู้ความจริงแล้ว ก็ไม่อัศจรรย์เห็นเป็นของธรรมดาหมด
๖. หากดึงโลกมาหาธรรมด้วยปัญญาทางพุทธ ท่านให้มองทุกสิ่งในโลก เป็นสภาวะธรรมหรือกรรมหมด ผมขอไม่อธิบายรายละเอียด เพราะธรรมในพุทธศาสนานั้นเป็นปัจจัตตัง ปฏิบัติถึงแล้วจะรู้ได้ด้วยจิตของตนเอง เฉพาะตนของใครก็ของมัน และที่สุดของโลกก็ไม่เหลืออะไร เพราะโลกทั้งโลก แม้เทวโลกและพรหมโลกก็ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ผมขอสรุปว่า พระพุทธองค์ทรงให้ยึดตัวปัจจุบันเป็นหลักสำคัญ (ธรรมของตถาคตจริงในปัจจุบันเท่านั้น) เวลาเรากินอาหารในปัจจุบัน เรากินเนื้อหมูมิได้กินขี้หมู มันเป็นคนละสภาวะกัน อย่าเอาอดีตธรรมมาเป็นปัจจุบันธรรม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 12-03-2010 เมื่อ 09:16
|