ในเมื่อเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ คนบนแล้วสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ก็จะทำให้บางท่านเกิดความไม่พอใจ อย่างที่มีข่าวคราวว่าไปทุบศาลทิ้งบ้าง เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งถ้าท่านรู้จักใช้ปัญญาแยกแยะ ท่านก็จะทราบว่าตนเองยังขาดอยู่มาก ในเมื่อสร้างเหตุไม่เพียงพอ แล้วผลไม่เกิด ท่านทั้งหลายจักไปปรารถนาให้สำเร็จ ย่อมเป็นไปไม่ได้
เนื่องเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นสัพพัญญู คือรู้รอบรู้จริงทุกอย่าง พระองค์ท่านได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ บุคคลผู้กระทำความดี ย่อมได้รับผลดี บุคคลผู้กระทำความชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ปกติ ซึ่งถ้าท่านที่เป็นสัมมาทิฏฐิพิจารณาดูแล้ว ก็ย่อมเห็นชัดเจนตามนั้น แต่ท่านที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็มักจะมีโมหะบังใจ ไม่ว่าเหตุผลจะชัดเจนสักเท่าไร ความมืดบอดของจิตใจ ก็ทำให้ท่านเข้าไม่ถึงความเป็นจริงตรงนั้น
อย่างเช่นว่า ตนเองโดนโรงเรียนไล่ออก เพราะว่าไปกระทำสิ่งหนึ่งประการใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายมาก แต่ว่าเมื่อโดนไล่ออกแล้ว เราก็ยังไม่ยอมรับในเหตุผลนั้น ยังมัวแต่สงสัยว่าจะโดนกลั่นแกล้งบ้าง คนอื่นไม่ชอบหน้าของเราบ้าง
เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง อวิชชาคือความมืดบอดในใจของท่านนั้น หนาหนักจนเกินไป ถ้าเป็นคนโบราณก็จะใช้คำว่า "แม้แต่พระก็โปรดไม่ได้" ถ้าท่านอยู่ในประเภทนี้ กระผม/อาตมภาพเองก็ได้แต่แผ่เมตตาไปให้ เพราะว่าท่านช่างน่าสงสารเหลือเกิน มีดวงตาที่มืดบอด มีดวงใจที่มืดบอด ไม่สามารถเข้าถึงเหตุผลหลักธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้น เป็นเหตุให้ตนเองต้องเดือดร้อน แต่เที่ยวไปกล่าวหาว่าผู้อื่นสกัดตนเองเอาไว้ ไม่ให้ก้าวไปสู่ตำแหน่งอื่น ๆ เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2023 เมื่อ 01:23
|