ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จะหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อกำลังใจเราเข้มแข็งพอที่จะเป็นนายของตัวเอง อยากจะมีผัวมีเมียก็ปล่อยมัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ให้ตั้งใจเรียน ถึงเวลาเรียนจบ เอาสัก ม.๖ หรือปริญญาตรี แล้วอยากจะมีกี่คนก็มีไป เพราะถือว่าเราเองประสบความสำเร็จในการศึกษาระดับหนึ่งแล้ว
การศึกษาทำให้เรามีสายตากว้างขึ้น หนทางชีวิตเปิดกว้างขึ้น ยิ่งเรียนสูงเท่าไร โอกาสที่จะเลือกทางชีวิตได้ ก็ยิ่งมีมากเท่านั้น โบราณเขาถึงใช้คำว่า "อดเปรี้ยวไว้กินหวาน" ก็คือต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ก่อน พยายามศึกษาให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ ไม่ใช่เรียนไปครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วก็ต้องไปเป็นผู้ใช้แรงงาน แล้วก็มีผัว มีเมีย มีลูก แล้วลูกเราก็วนมาอยู่ในวงจรอุบาทว์แบบนี้ไปไม่รู้จบ ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นก็สงสารลูกที่จะเกิดมาบ้าง ถ้าตัวเรายังหาความก้าวหน้าไปกว่านี้ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าลูกจะก้าวหน้าไปกว่านี้เลย..!
ถ้าหากว่าพวกเราศึกษากันครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ แล้วไปเป็นกำลังของประเทศชาติ ก็เป็นได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ โอกาสที่จะหาความเจริญใส่ตัวให้มากกว่านี้ก็น้อย เพราะว่าความรู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมเราไม่มี หน้าที่การงานที่ดี เขาก็ต้องการความรู้ที่สูงกว่านี้ เราลองมานึกทบทวนว่า ถ้าเราเรียนแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จบ ม.๔ บ้าง ม.๖ บ้าง ก็ยังเอาตัวไม่รอด เพราะว่าเป็นความรู้ของระดับกรรมกรเท่านั้น จบปริญญาตรี ยังไม่แน่ว่าจะได้งานหรือเปล่า ?
การศึกษาเป็นเรื่องที่ส่งพวกเราให้ก้าวขึ้นไปสู่ที่สูง มองเห็นได้ไกลขึ้น เลือกทางชีวิตได้ดีขึ้น ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น พวกเราดูพี่ ๆ หลายคนที่เป็นนักเรียนทุนของหลวงพ่อวัดท่าขนุนดูก็ได้ แต่ละคนประสบความสำเร็จ เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ หรือสถาบันที่ดีได้ หลายท่านทางมหาวิทยาลัยหรือสถาบันก็รับตรงเลย ในเมื่อมีสิบนิ้วเท่ากัน พี่เขาทำได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2023 เมื่อ 01:29
|