เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา เทวดาทั้งสองมาถึงพร้อมกันเป็นสององค์แรกเลย จึงนั่งข้างพระบาทซ้ายขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พอเทวดาอื่นมา อังกุรเทพบุตรก็ต้องขยับถอยไป เพราะเทวดาท่านอื่นมีศักดานุภาพมากกว่า
เทวดานางฟ้านี่เขาดูว่าใครมีอำนาจมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่าด้วยรัศมีกาย ยิ่งรัศมีสว่างกว่ามากก็ยิ่งมีศักดานุภาพมาก ส่วนอินทกเทพบุตรก็นั่งอยู่ที่เดิม จนกระทั่งมหาสมาคมนั้นประชุมเสร็จสรรพเรียบร้อย เทวดา นางฟ้า พรหม เกือบจะ ๑๐๐ โกฏิ อังกุรเทพบุตรถอยไปอยู่สุดขอบจักรวาลโน่น..!
พระพุทธเจ้าอยากแสดงให้มหาสันนิบาตนั้นได้ทราบว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ฝ่ายหนึ่งใครมาก็ต้องถอยให้เขาหมด กลายเป็นเทวดาที่ศักดานุภาพน้อยที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งต่อให้พระอินทร์ซึ่งเป็นเทวราช คือราชาของเทวดาทั้งมวลมาก็ไม่ต้องลุกให้
อังกุรเทพบุตรสมัยเป็นมนุษย์นั้นเป็นมหาเศรษฐี เปิดโรงทานเลี้ยงคนทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ ๖๐ โรง รวยจริงนะนี่..! เลี้ยงไม่มากหรอก เลี้ยงอยู่ ๒๐,๐๐๐ ปี..! ช่วงนั้นมนุษย์มีอายุขัย ๖๐,๐๐๐ ปี ทำบุญเลี้ยงคนทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยโรงทาน ๖๐ แห่ง ตลอดเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี ทำไปขนาดไหน ? ส่วนอินทกเทพบุตรที่ไม่ต้องลุกหนีให้ใครเลย ในชีวิตใส่บาตรครั้งเดียว..! ทำไมกลับตาลปัตรขนาดนั้น ?
เนื่องเพราะว่าอังกุรเทพบุตรไปให้ทานในยุคที่มนุษย์ไม่มีศีลไม่มีธรรม ก็ถือว่าเป็นทานชั้นเลวเลย อานิสงส์น้อยมาก ทำขนาดนั้นแต่ต้องไปนั่งท้ายแถวเขา ใครมาก็ต้องลุกให้เขาแทนที่
ส่วนอินทกเทพบุตรใส่บาตรครั้งเดียวกับพระสงฆ์ ๖ รูปที่ธุดงค์ผ่านบ้านตัวเอง ปรากฏว่าพระสงฆ์ทั้ง ๖ รูปเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย..! เท่ากับถวายสังฆทานกับพระอรหันต์ ๖ รูป อานิสงส์ถึงได้มหาศาล เพราะว่าเนื้อนาบุญสุดยอดระดับนั้น จึงทำให้แม้แต่พระอินทร์เสด็จมา อินทกเทพบุตรก็ไม่ต้องลุกให้ กระผม/อาตมภาพดูแล้วว่าจะคล้าย ๆ ตัวเราไหม ? ใครมาก็ไม่ต้องลุกให้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2023 เมื่อ 05:18
|