โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เป็นสภาวะปัจจัตตังที่ไม่สามารถอธิบายด้วยภาษามนุษย์ให้เข้าใจซาบซึ้งได้ เพราะว่าสภาวธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือตัวหนังสือจะอธิบายได้ บาลีจึงใช้คำว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ บุคคลผู้ที่ปฏิบัติแล้วเท่านั้นที่จะรู้ได้เฉพาะตน
ไม่ใช่คิดว่าหลวงปู่โคธิกะเถระท่านทำได้ เราก็ต้องทำได้ ไม่ใช่คิดว่าหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนทำได้ เราก็ต้องทำได้ บุคคลที่คิดในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่าพลาดพลั้งไป ลงไปสู่อบายภูมิ ก็นับว่าเสียชาติเกิดไปอีกนาน..!
เพราะว่าเมื่อเราลงสู่อบายภูมิแล้ว กรรมต่าง ๆ ที่สร้างมาก็จะมาสนองโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้เราต้องรับทุกข์รับโทษอยู่จนกว่าจะเหลือเพียงเศษกรรมเล็กน้อย จึงจะหลุดพ้นขึ้นมา แต่ก็ยังต้องอยู่ในแดนของเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องแบกความทุกข์ยากลำบากกว่าคนอื่นเขา กว่าที่จะได้เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตพอจะมีความสุขความสบาย มีเวลาให้ปฏิบัติธรรมได้บ้าง ก็เป็นเรื่องที่ยากเหลือแสน
ดังนั้น..ใครที่คิดจะเลียนแบบหลวงปู่โคธิกะเถระก็ดี เลียนแบบกระผม/อาตมภาพก็ตาม โปรดดูกำลังของตนเองด้วย ช้างแบกข้าวสาร ๑ กระสอบไม่รู้สึกเลยว่าหนัก แต่มดถ้าหากว่าโยนข้าวสารให้แบก ๑ กระสอบ ก็มีแต่ตายสถานเดียว..!
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2022 เมื่อ 02:35
|