ธัมมะนิยามะตา คำจำกัดความของคำทั้งหลายเหล่านั้นคือ
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง คือเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลางและสลายไปในที่สุด
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ก็คืออยู่เมื่อไรก็ต้องทน ไม่ทนทางกาย ก็ต้องทนทางใจ
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมทั้งหลายไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนได้ ท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังไปหมด
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุขึ้นแล้ว ท่านใช้คำว่าพระตถาคตเจ้าบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
อาจิกขะติ เทเสติ นำมาบอกกล่าว นำมาแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ นำมาบัญญัติ นำมาก่อตั้ง
วิวะระติ วิภะชะติ เอามาจำแนก เอามาแยกแยะ
อุตตานีกะโรติ ทำของลึกให้ตื้น คือทำของยากให้ง่ายขึ้น
ในเมื่อพระองค์ท่านจัดเป็นหมวดหมู่แยกแยะออกมาแล้ว กรรมฐานจึงมี ๒ อย่าง เรียกว่าสมถกรรมฐาน ๑ กับ วิปัสสนากรรมฐาน ๑
สมถกรรมฐานเป็นเครื่องระงับจิตใจของเราให้สงบลง ควรแก่การใช้งาน แต่ว่าอันตรายมาก..! เพราะว่าถ้าใช้ผิดแม้แต่นิดเดียวจะกลายเป็นมิจฉาสมาธิ ก่อให้เกิดโทษได้มากกว่าประโยชน์ วิปัสสนากรรมฐานเป็นเครื่องช่วยให้เราเกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของโลกนี้ ทำให้คลายความยึดมั่นถือมั่นออกไปได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2022 เมื่อ 01:34
|