ท่านไม่นึกว่าจะโดนเด็ก "สอย" ซึ่ง ๆ หน้าก็อึ้งไปพักหนึ่ง แล้วท้ายที่สุดก็บอก "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รับได้..แต่หาที่นั่งคุยให้เรียบร้อย ไม่ใช่เดินไปคุยไป" ก็แสดงว่าพระผู้ใหญ่เอง บางทีท่านก็ไม่ได้นึกถึงบริบทของสังคมปัจจุบัน จะเอาแต่สมณสารูป เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรก็สั่งห้าม
อีกอย่างหนึ่งก็คือท่านห้ามพระถ่ายรูปด้วยตนเอง กระผม/อาตมภาพกราบเรียนท่านว่า "งานสงฆ์ทุกอย่าง หลวงพ่อต้องการรูปประกอบรายงาน ไม่ให้กระผมถ่ายรูปแล้วกระผมจะทำรายงานอย่างไร ?" ท่านบอกว่า "เรื่องนี้ไม่ได้รีบด่วน ใช้ลูกศิษย์ให้ช่วยถ่ายได้" อันนี้เราก็ต้องยอมรับว่าท่านคิดได้รอบคอบกว่า ก็แปลว่าถ้ามีการคุยกันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ยกเหตุยกผลขึ้นมา โดยที่ไม่ได้เอากิเลสมาชนกัน เรื่องก็จะจบได้ง่าย
พวกเราทั้งหลายก็เหมือนกัน ในปัจจุบันนี้แค่เรามาปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าใจว่ากิเลสคอยจูงจมูกให้เราคิดอยู่ตลอดเวลา แค่คนข้างหน้าเดินก้าวสั้นกว่า เราเดินก้าวยาวกว่าหน่อยเดียว นึกด่าในใจแล้วว่า "จะย่องไปถึงไหน ? ไม่มีมดให้เหยียบหรอก ต้องระวังต้องช้าขนาดนั้นด้วยหรือ ?" ก็บ่นไปเรื่อย เห็นหรือยังว่าเผลอเมื่อไรกิเลสก็กินเราแล้ว
เพราะฉะนั้น..หน้าที่ของเราก็คือ รู้ตัวว่ามีกิเลสเข้ามาเมื่อไรก็ไล่มันออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้มันเข้ามา ถ้าไม่มีความดีอยู่ในใจ ก็สร้างความดีนั้นขึ้นมา แล้วก็ช่วยเสริมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป หน้าที่เรามีแค่นี้เอง
วันนี้ก็เรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2022 เมื่อ 03:16
|