"พระเจ้าพิมพิสารรู้จักพระพุทธเจ้า สายตาคนก็เริ่มมองกันว่า อ้อ..คนนี้หรือพระพุทธเจ้า ? แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ตกลงใครเป็นลูกศิษย์กันแน่ ? เพราะอาจารย์ใหญ่ของเขามีชื่อเสียงมานานแล้ว ส่วนพระพุทธเจ้าเพิ่งปรากฏขึ้นมา เพิ่งได้ยินวันนี้เองว่า ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อายุก็ยังน้อยอยู่
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสคำว่า อย่าดูหมิ่นพระราชาว่ายังเด็ก อย่าดูหมิ่นงูพิษว่าตัวเล็ก อย่าดูหมิ่นสะเก็ดไฟว่าเล็กน้อย และท้ายสุดอย่าดูหมิ่นสมณะว่ายังหนุ่ม พระราชาแม้จะเป็นเด็กแต่ก็สั่งตัดหัวได้ งูพิษแม้ตัวเล็กถ้ากัดก็ตายได้ สะเก็ดไฟน้อย ๆ ลองไหม้สิ เมืองทั้งเมืองก็อาจจะไหม้หมดได้
พอชาวบ้านได้ฟังภาพพจน์ของพระพุทธเจ้าจึงได้ยอมรับ แต่ก็ยังไม่หายสงสัยอยู่ดีว่าใครเป็นลูกศิษย์ ? ใครเป็นอาจารย์ ? พระพุทธเจ้าจึงได้บอกว่า "กัสสปะ เธอจงแสดงให้มหาชนเหล่านี้ทราบว่าใครเป็นศิษย์ ใครเป็นอาจารย์" พระอุรุเวลกัสสปะก็ครองจีวรเฉวียงบ่า กราบแทบเท้า ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า ประกาศว่า ข้าพเจ้าเป็นสาวก พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของข้าพเจ้า พอประกาศเสร็จก็เหาะขึ้นไปชั่วลำตาล แล้วก็ลงมากราบใหม่ ประกาศใหม่ ทำอย่างนี้ด้วยกันถึงสามวาระ ชาวบ้านทั้งหมดจึงยอมเชื่อ ยอมเชื่อเพราะอะไร ? ก็อาจารย์ใหญ่เหาะให้ดูเห็น ๆ แต่กลับยอมไปกราบเท้าพระพุทธเจ้านั่นเอง
พระพุทธเจ้าจึงได้เทศน์อนุปุพพิกถา พอเทศน์จบมหาชนทั้งหมด ๑๑ นหุต (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคน) บรรลุเป็นพระโสดาบันพร้อมทั้งพระเจ้าพิมพิสารด้วย ส่วนอีกหนึ่งหมื่นมัวแต่ตื่นเต้นหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงไม่ได้บรรลุ... แต่ก็เกิดความเลื่อมใส ปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต
คราวนี้เรามาดู..ดูอะไร ? ดูว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ายากจริงหรือเปล่า ? ถ้ายากจริงทำไมเขาบรรลุกันทีเป็นแสนคน ฉะนั้น..อ่านพระไตรปิฎก อย่าอ่านทิ้งเฉย ๆ ต้องคิดให้เป็น สมัยนี้เทศน์กันปากเปียกปากแฉะ อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย แค่หนึ่งคนก็หายากแล้ว..!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2010 เมื่อ 16:27
|