แต่ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาในวิสุทธิมรรค จะเห็นว่ามีคำอธิบายเอาไว้เนิ่นนานเหลือเกินแล้วว่า ถึงเวลาการใช้เจโตปริยญาณ ท่านไม่ให้ใช้ดูใจคนอื่น เพราะว่ามีประโยชน์น้อย แต่ให้ดูใจตนเอง
ลักษณะของการดูใจตนเองนั้น แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ประเภทหนึ่ง จัดเป็นจิตในจิตและธรรมในธรรม ตามหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ ก็คือดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น
อีกประเภทหนึ่ง เป็นการใช้ทิพจักขุญาณดูสีสันของจิต แล้วสามารถบอกกล่าวได้ว่าสภาพจิตสีสันแบบนี้ ตอนนี้เจ้าของจิตนั้นเป็นอย่างไร ก็ลักษณะแบบเดียวกับที่บรรดานักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะอ่านออร่า คือรัศมีกายของคน ว่าแต่ละสีสันหมายความว่าอะไร ถูกบ้าง ผิดบ้าง มั่วไปเรื่อย
อีกส่วนหนึ่งที่ทางวิทยาศาสตร์พยายามจะตามมาก็คือ ในเรื่องของน้ำมนต์ โดยมีการเอาน้ำจากแหล่งเดียวกัน จำนวนเท่ากัน บรรจุภาชนะชนิดเดียวกัน ส่วนแรกเอาไปให้ผู้ปฏิบัติธรรมหรือว่าผู้มีสมาธิภาวนา อธิษฐานจิตในลักษณะเสกน้ำมนต์ อีกส่วนหนึ่งที่มีจำนวนเท่ากัน อยู่ในภาชนะแบบเดียวกัน แยกเอาไว้เฉย ๆ
ถึงเวลาแล้วนำทั้ง ๒ ส่วนมาแช่แข็งแล้วส่องดูสภาพโมเลกุล ก็จะเห็นว่าโมเลกุลของน้ำมนต์นั้นจับตัวเรียงรายกันเป็นรูปร่างที่สวยงามมาก ส่วนโมเลกุลของน้ำธรรมชาตินั้น มีขาดมีแหว่งบ้างตามปกติ แล้วพอไปเปิดเพลงประเภทเฮฟวี่เมตัลอยู่ใกล้ ๆ น้ำ เมื่อเอามาแช่แข็งแล้วส่องดู จะเห็นว่าโมเลกุลแตกกระจัดกระจายไปหมด..!
แม้กระทั่งในเรื่องของกำเนิดมนุษย์ พระพุทธเจ้าก็อธิบายไว้อย่างชัดเจน แต่ว่าทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจะหาข้อกลางได้จากการสันนิษฐานว่าคนมาจากลิง เพราะว่าลิงมีโครโมโซม ๓๖ คู่ คนมีโครโมโซม ๓๘ คู่ แล้วช่วง ๓๗ คู่อยู่ที่ไหน ? ถ้ากระผม/อาตมภาพพูดมากเกินไปเดี๋ยวพวกท่านก็จะประสาทกลับกันไปหมด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2022 เมื่อ 03:20
|