เรื่องพวกนี้เมื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมไปมากเข้า ๆ กระผม/อาตมภาพก็ถึงได้เข้าใจว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ ก็แค่เปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงาน แล้วเปลี่ยนพลังงานกลับมาเป็นวัตถุเท่านั้น พอเปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานก็สามารถที่จะไปได้ทุกที่ทุกทาง เมื่อทำหน้าที่เสร็จสรรพเรียบร้อย พลังงานกลับคืนสู่สภาพของวัตถุ จากด้ายสายสิญจน์ที่กลืนลงไปกระเพาะอาหาร ก็กลับคล้องคอเด็กที่อยู่ในมดลูกของแม่ออกมาได้
แบบเดียวกับท่านทั้งหลายที่ฝึกกสิณ ทำไมปีตกสิณสามารถเสกวัตถุอื่นให้เป็นทองได้ ? ถ้าอธิบายกันตามหลักฟิสิกส์หรือว่าหลักวิทยาศาสตร์ ก็แค่เป็นการเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลของวัตถุเท่านั้น สมมติว่าเราจะเสกก้อนหินเป็นทอง ก็แค่เปลี่ยนการเรียงโมเลกุลแบบก้อนหิน ไปเป็นการเรียงโมเลกุลแบบทองคำก็จบแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นการเปลี่ยนที่เร็วมากจนดูไม่ทัน
ดังนั้น...เรื่องของจิตศาสตร์จึงเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ตามได้ยากมาก ถ้าไม่ใช่คนที่ศึกษาทั้งสองอย่างจริง ๆ แล้วทำได้จริง ๆ ก็จะอธิบายไม่ได้
ปัจจุบันนี้อย่างภาพถ่ายเกอร์เลียน ถึงเวลาเขาตัดใบไม้ขาด ๒ ท่อน แต่พอถ่ายภาพแบบเกอร์เลียน ใบไม้ครึ่งใบกลับแผ่รัศมีพลังงานเหมือนกับใบไม้เต็มใบ เพราะว่าการแผ่พลังงานยังอยู่ในสภาพปกติไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าที่จะรู้ตัวและเข้าใจว่าอีกส่วนหนึ่งไม่มีแล้ว การส่งผ่านพลังงานนั้นถึงจะลดลงไป
แบบเดียวกับบางคน ถ้าหากว่าแขนขาดขาขาดใหม่ ๆ ก็มักจะเผลอไปคิดว่าตนเองยังมีแขนมีขาอยู่ แล้วก็อาจจะเผลอทำอะไรไป โดยคิดว่าแขนขาของตนเองยังปกติ ก็คือแบบเดียวกัน
ภายหลังพัฒนาการถ่ายภายแบบเกอร์เลียนที่สามารถถ่ายพลังงานในวัตถุได้ เขาเอามาถ่าย "ออร่า" คือพลังงานในร่างกายของเรา แล้วก็มีคนพยายามศึกษาและอ่านดูว่า พลังงานแต่ละสีสันหมายถึงอะไร ลักษณะนี้เป็นลักษณะของจิตที่มีความปีติยินดี ลักษณะนี้สภาพจิตหดหู่ เศร้าหมอง ลักษณะแบบนี้ สภาพจิตกำลังโกรธเคือง เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2022 เมื่อ 03:18
|