คราวนี้มากล่าวถึงท่านปูติคัตตติสสะ ร่างกายมีแต่น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองเกรอะกรังไปทั้งตัว จิตใจก็หงุดหงิด กลัดกลุ้ม กังวล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยเช็ดล้าง ทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าใหม่ให้ มีความเบาสบาย
พระพุทธเจ้าพอเห็นว่าท่านติสสะกำลังใจสบายดีแล้ว ก็ตรัสว่า อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิงอะธิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัดถ้ง วะ กะลิงคะรังฯ
ที่พวกท่านทั้งหลายใช้ "บังสุกุลเป็น" นั่นแหละ ก็มาจากเรื่องนี้ ความหมายก็คือ ดูก่อนติสสะ...อันว่าร่างกายนี้เมื่อวิญญาณปราศจากแล้ว ก็เปรียบเหมือนกับขอนไม้ที่กลิ้งอยู่กลางดิน ไม่มีผู้ใดปรารถนาอีก
ท่านติสสะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าความไม่ดีของร่างกายเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าสภาพจิตของตนเองหลุดพ้นไปได้ ก็จะเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่ง จึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่า สภาพร่างกายนี้ก็เหมือนกับไม้ท่อนหนึ่ง พอไม่มีวิญญาณคอยควบคุม คอยดูแลอยู่ ก็กลิ้งอยู่กลางดิน ในเมื่อกำลังใจท่านสบาย มรณภาพตอนนั้นก็เป็นพระอริยเจ้าตอนนั้น ส่วนเราทั้งหลาย "ว่าเองมากี่รอบแล้ว แถมฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก มองเห็นบ้างหรือยัง ?"
เนื่องเพราะว่าตราบใดก็ตามที่เรายังไม่หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ตราบนั้นคติของเราก็ยังไม่แน่นอน คติคือที่ไป ก็คือที่ไปในโลกหน้าหรือชาติต่อไปนั่นแหละ
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เราทำกรรมดีกรรมชั่วสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทุกชาติ ในช่วงที่กรรมดีส่งผล เราทั้งหลายก็รู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจ เสวยกรรมดีไป บางทีก็ลืมนึกถึงว่ามีส่วนของกรรมชั่วยังรออยู่ พอถึงเวลากรรมชั่วเข้ามา ก็กลัดกลุ้ม หงุดหงิด กังวล บางทีปฏิบัติธรรมอยู่ดี ๆ กำลังใจตก จากแต่เดิมความรู้สึกเหมือนเทวดาเหมือนนางฟ้า ก็ยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนอีก..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะเห็นชัดว่า ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้น ตราบนั้นคติคือที่ไปของเรายังไม่แน่นอน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2022 เมื่อ 01:55
|