ในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมนี้ประทับอยู่ท่ามกลางหมู่สงฆ์ ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงแต่งตั้งพระอนุรุทธเถระไว้ในตำแหน่ง ผู้มีจักษุทิพย์เป็นเลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลาย
แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พระอนุรุทธเถระก็ยังคงปฏิบัติตนเคร่งครัดในเรื่องการนอน ท่านได้ประกาศว่า
"เราถือการไม่เอนกายนอนเป็นวัตร(ข้อปฏิบัติ) เป็นเวลาถึง ๕๕ ปีมาแล้ว เรากำจัด ความง่วงเหงา หาวนอนมาแล้ว เป็นเวลา ๒๕ ปี"
ครั้นถึงคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีตาทิพย์ ภิกษุทั้งหลายจึงถามท่านว่า
"บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือยัง"
พระอนุรุทธเถระจึงตอบเป็นลำดับให้รู้
"ลมหายใจออกและหายใจเข้า มิได้มีแก่พระศาสดาแล้ว แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน ทรงกำลังทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ คือเสด็จออกจากฌาน ๔ แล้วจึงจะเสด็จปรินิพพาน ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน จิต(ความคิด)และเจตสิก(อารมณ์อาการของจิต) ทั้งหลาย จะไม่มีอีกต่อไป ชาติสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิด)สิ้นไปแล้ว บัดนี้การเกิดในภพใหม่ มิได้มี"
แม้ถึงกาละสุดท้ายของพระเถระนี้ ท่านก็ได้นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ(คือ ดับทั้งกิเลสสิ้น แล้วดับทั้งชีวิตร่างกายขันธ์ ๕ ด้วย ไม่มีการกลับมาเกิดร่างใหม่อีก) ภายใต้พุ่มกอไผ่ที่ใกล้บ้านเวฬุวคาม ในแคว้นวัชชี
(พระไตรปิฎก เล่ม ๗ ข้อ ๓๓๗
พระไตรปิฎก เล่ม ๒๓ ข้อ ๑๒๐
พระไตรปิฎก เล่ม ๒๖ ข้อ ๓๙๓
พระไตรปิฎก เล่ม ๓๒ ข้อ ๖
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๓ หน้า ๑๕๕
อรรถกถาแปลเล่ม ๗๐ หน้า ๕๔๖)
- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๒ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๗ -
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-02-2010 เมื่อ 03:46
|