เมื่อทำการฉลองสวดสมโภช ก็จะต้องหาบุคคลที่เกิดตามวันเวลาทั้งหลายเหล่านั้น มาเป็นผู้จุดธูปเทียนบูชาพระเคราะห์ ซึ่งถือว่าให้เจ้าของวันเกิดที่ตรงกับพระเคราะห์นั้น เป็นผู้นำให้บุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมอยู่ในพิธีกำหนดใจตามไป ซึ่งถ้าหากว่าเป็นการเสวยอายุของดาวพระเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งก็ตาม ในการทำพิธีรับพระเคราะห์เสวยอายุ ก็ถือว่าเราได้ทำการอันเป็นสิ่งที่ดีที่งามแล้ว ทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความยินดี มีความพอใจ ก็จะดลบันดาลให้เกิดแต่สิ่งที่ดี ๆ ขึ้นมาในชีวิตของเรา
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น แต่เดิมเป็นความเชื่อจากทางด้านศาสนาฮินดู ซึ่งเมื่อศาสนาฮินดูได้ติดตามเหล่าพราหมณาจารย์ทั้งหลายเข้ามาในอุษาคเนย์ ก็คือบ้านเราเมืองเรา ซึ่งสมัยก่อนนั้น บริเวณนี้เรียกกันว่าสุวรรณภูมิ เมื่อบรรดาพราหมณาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้มีความรู้มาถึง ก็ได้รับความเชื่อถือจากผู้นำ จากเจ้าพระยามหากษัตริย์ ก็ได้ถวายคำแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับพิธีพราหมณ์เข้ามา จึงทำให้พิธีทั้งหลายเหล่านี้แทรกเข้ามาในบ้านในเมืองของเรา
แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ได้สอนให้เราบูชาเทวดาในลักษณะอย่างนี้ พระองค์ทรงเชื่อมั่นในศักยภาพของอุบาสก อุบาสิกา หญิงชายทั้งหลาย ว่าท่านสามารถที่จะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เป็นอรูปพรหม หรือเป็นวิสุทธิเทพ เทวดาผู้บริสุทธิ์สิ้นเชิง คือพระอรหันต์ได้ด้วยตนเอง
พระองค์ท่านจึงได้สั่งสอนว่า ถ้าเราทั้งหลายปฏิบัติในหลักของโลกบาลธรรม คือ มีหิริ รู้จักละอาย เกรงกลัวต่อการกระทำบาป มีโอตัปปะ กลัวว่าผลของบาป ผลของความชั่วนั้น จะมาตามสนองเราทีหลัง และมีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ ท่านทั้งหลายก็สามารถเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้
แต่ถ้าท่านทั้งหลาย นอกจากมีหิริโอตัปปะ มีศีล ๕ สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ยังสามารถปฏิบัติให้เกิดสมาธิสมาบัติทรงตัวขึ้นมาในระดับใดระดับหนึ่ง ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ท่านก็สามารถที่จะเกิดเป็นพรหมได้ตามลำดับของสมาธิที่ท่านเข้าถึง
ในขณะเดียวกัน ถ้าท่านสามารถเปลี่ยนแปลงจากรูปสมาบัติ เป็นอรูปฌาน หรืออรูปสมาบัติ ท่านก็สามารถเกิดเป็นอรูปพรหมได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2022 เมื่อ 01:24
|