ถ้ายังไม่มีคำถาม ก็จะขอเพิ่มเติมให้ว่า อานาปานสตินั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายศึกษาจากพระไตรปิฎก จะมีอยู่ทั้งในทีฆนิกาย และมัชฌิมนิกาย เป็นหลักการปฏิบัติอย่างเดียวกัน เพียงแต่เพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งจะมีปรากฏอยู่ในวิสุทธิมรรค
ในวิสุทธิมรรคนั้นจะให้รายละเอียดว่า การปฏิบัติในอานาปานสติของเรานั้นมีวิธีการแบบใดบ้าง อย่างเช่นว่า วิธีการแบบผุสนา คือจับลมกระทบ จะเอากี่ฐานก็แล้วแต่ความถนัดของเรา กำหนดลมกระทบฐานเดียวที่ปลายจมูกก็ได้ หรือว่าที่ศูนย์กลางกายก็ได้ หรือจะกำหนดลม ๓ ฐาน จมูก อก ท้อง...ท้อง อก จมูก ก็ได้ หรือจะกำหนด ๗ ฐานก็ได้
ส่วนอผุสนานั้นก็คือการไม่กำหนดลมกระทบฐาน แต่เป็นการกำหนดรู้ตลอดตั้งแต่เข้าจนออก แล้วก็ไล่ไปเรื่อย ๆ ในลักษณะของการทรงฌานในระหว่างภาวนาบ้าง การกำหนดภาวนาเป็นชุด ๆ นับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ บ้าง แล้วแต่วิธีการว่าเราจะถนัดแบบไหน
ดังนั้น...ถ้าหากว่าท่านไปอ่านเจอเนื้อหาที่มีความแตกต่าง ขอให้รู้ว่าหลักอานาปานสตินั้น พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ทั้งในทีฆนิกายคือพระสูตรที่มีเนื้อหายาว และมัชฌิมนิกายพระสูตรที่มีเนื้อหาปานกลาง แล้วพระพุทธโฆษาจารย์ซึ่งเป็นนักแต่งตำรา ก็ยังเขียนตำราปกรณ์วิเสสที่ชื่อว่าวิสุทธิมรรค กล่าวถึงอานาปานสติไว้ มีรายละเอียดอย่างมาก จัดอยู่ในส่วนของสมาธินิเทสในวิสุทธิมรรค ดังนั้น...ท่านทั้งหลายจะอ่านไปตรงจุดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเห็นความแตกต่าง ขอให้รู้ว่าหลักการเหล่านั้น สามารถที่จะปฏิบัติแล้วก่อให้เกิดผลได้เหมือน ๆ กัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-03-2022 เมื่อ 02:19
|