ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าคำภาวนาไม่ใช่สาระ อะไรก็ได้ที่ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่เสมอ เป็นการโยงจิตของเราให้เกิดสมาธิ สาระสำคัญก็คือรักษากำลังใจอยู่เฉพาะหน้า อยู่กับลมหายใจเข้า อยู่กับลมหายใจออก จนกระทั่งสมาธิทรงตัว ดับกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ได้ชั่วคราว
ถ้าท่านทำมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ต่อให้ลูกหลานของท่านเป็นนักกินนักเที่ยวขนาดไหนก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงจากภายในจะปรากฏชัดออกมาภายนอกเลย เนื่องเพราะว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นสามารถดับไฟที่เผาตนเองอยู่ลงได้ ด้วยอำนาจของสมาธิที่เกิดจากลมหายใจเข้าออก
ไฟทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าหากว่าท่านดูในอาทิตตปริยายสูตร ในพระสุตันตปิฎก บาลีกล่าวว่า ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ คือความรัก โลภ โกรธ หลง นั่นเอง เราโดนไฟทั้งหลายเหล่านี้เผาอยู่ทุกวัน เร่าร้อนแต่ไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าต้องเต้นไปเรื่อยเหมือนกับมดที่อยู่ในกระทะร้อน ๆ แต่ไม่รู้ตัวว่าความร้อนมาจากอะไร ?
เมื่อท่านทั้งหลายอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับอานาปานสติแล้ว เมื่ออารมณ์ใจทรงตัว กำลังสูงพอสามารถที่จะดับไฟที่เผาเราอยู่ได้ชั่วคราว ความสุขเยือกเย็นที่เกิดขึ้น ไม่สามารถอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ เพราะว่าหลักธรรมนั้นเป็น "ปัจจัตตัง" เป็นภาษาใจ รู้ได้เฉพาะตน ความรู้สึกไม่กี่วินาทีที่เกิดขึ้น ถ้าพยายามอธิบายด้วยคำพูดก็ใช้เวลานาน ถ้าอธิบายเป็นตัวหนังสือก็อาจจะหลายหน้ากระดาษ
แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความสุขอย่างแท้จริง เป็นความสุขจากการสงบระงับจากกิเลส เป็นความสุขที่ไม่ต้องมีสิ่งกระตุ้นเร้าจากภายนอก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2022 เมื่อ 02:16
|