กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่า ชีวิตฆราวาสเหมือนอย่างกับปล่อยเราไว้ในป่ากับเสือตัวหนึ่ง บางทีเดินทั้งปีก็ยังไม่เจอเสือตัวนั้น แต่ชีวิตของนักบวช โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ เขาเอาเสือตัวนั้นยัดไว้ในกรงแคบ ๆ กับเรา กรงนั้นก็คือศีล ๒๒๐ บวก ๗ ข้อ เสือจึงฟัดเราอยู่ทุกวัน ต้องใช้ความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างยิ่ง โบราณเขาถึงให้ "บวช" ก่อนแล้วค่อย "เบียด"
โดยเฉพาะสมัยก่อนนิยมบวชเอาพรรษา ถ้าสามารถทนอยู่ในกฎเกณฑ์กติกาที่บีบคั้นทั้งร่างกายและจิตใจขนาดนั้นได้ครบพรรษา แปลว่าเรามีวุฒิภาวะทางอารมณ์มั่นคงพอที่จะไปเป็นหัวหน้าครอบครัวได้
สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังไม่ได้บวช โดยเฉพาะตอนอยู่ต่างจังหวัด ถ้าลูกบ้านไหนแหกพรรษา ก็คือสึกก่อนออกพรรษาหรือก่อนรับกฐิน..หาเมียไม่ได้..! ไม่มีบ้านไหนยอมให้ลูกสาวแต่งงานด้วย เพราะถือว่า "แค่บวช ๓ เดือน มึงยังอดทนไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานกูให้ตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร ?" ผู้ใหญ่เขาจะว่าอย่างนั้น มีทางเดียวก็คือต้องย้ายหนีไปต่างถิ่น ไม่ให้คนรู้ประวัติ ไม่อย่างนั้นก็เหี่ยวแห้งหัวโต..ชาตินี้หาคู่ไม่ได้..!
ตรงจุดนี้ที่อยากเตือนนาคทั้งหลายก็คือ การบวชนั้นไม่ยาก แต่การอยู่เป็นพระนั้นยากมาก กระผม/อาตมภาพเองฝึกในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญาเอาไว้มากมายมหาศาล มั่นใจว่าเรื่องของสมาธิสมาบัติไม่แพ้ใคร ท้าดวลได้ทั้งประเทศ ขนาดนั้น ๒ - ๓ พรรษาแรก ยังอยากจะสึกวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เพราะว่ากิเลสชวนสึก ต้องอดทนเท่านั้นถึงจะอยู่ได้
เพราะฉะนั้น...บวชเข้ามา อย่าคิดว่าจะบวชแล้วจะไม่สึก แต่เราต้องตั้งใจว่า "มีโอกาสเมื่อไรกูจะสึกทันที..!" ถ้าลักษณะนั้นเราจะได้ไม่บีบคั้นตนเอง เพราะว่าเปิดช่องเอาไว้รอบทิศทางแล้ว
วันนี้รบกวนเวลาพวกเรามามากแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา บอกกล่าวแก่พ่อนาคและญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-02-2022 เมื่อ 01:22
|