ตัวกระผม/อาตมภาพเองเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้กิเลสกินเราได้ ปรากฏว่าวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ไม่เห็นหน้ากิเลสเลย กว่าจะรู้ตัวก็อยู่ก้นเหวพอดี..!
คือกิเลสฉลาดมาก ชักจูงเราไปเรื่อย ๆ เหมือนกับทางค่อย ๆ ลาดต่ำลงทีละมิลลิเมตร ต่อให้เดินไปหลายกิโลเมตรก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองลงต่ำไปเรื่อย เพราะว่าบางทีสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนละเอียดของหลักธรรม เราไม่รู้ว่าตนเองผิดพลาด อย่างเช่นว่า ตำหนิติโทษคนอื่น โดยการเพ่งโทษ แต่ตัวเรากลับคิดว่ากล่าวเพื่อประโยชน์ของเขา เพราะฉะนั้น..ต้องดูกำลังใจตอนนั้นให้ชัดเจนจึงจะรู้ได้
ถ้าท่านทั้งหลายดูบันทึกเดินทางที่กระผม/อาตมภาพไปพม่า ตอนที่ด่านายทหารพม่าแล้วกลับมาดูใจตนเอง ปรากฏว่ากำลังใจขุ่นมัว แปลว่าเผลอปล่อยให้กิเลสนำหน้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นทุกความคิด ทุกคำพูด ทุกการกระทำ เราต้องมีสติระลึกรู้ มีสัมปชัญญะคอยกลั่นกรองอยู่เสมอว่า เป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า หรือว่าเผลอให้กิเลสนำหน้าไปแล้ว
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บอกกล่าวตอนนี้ บางทีท่านทั้งหลายก็ฟังไม่เข้าใจ ต้องค่อย ๆ พบเห็นด้วยตนเอง เมื่อมีประสบการณ์แล้วถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดนี้หมายถึงอะไร
วันนี้ก็ขอบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2022 เมื่อ 03:33
|