โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพ หลังจากที่คิดได้ ก็ปล่อยวางเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไป ใครทำอะไรเขาก็รับผลของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าเหี่ยว หัวหงอก เครียด มะเร็งรับประทาน ก็ล้วนแล้วแต่เขาทำตัวเองทั้งนั้น
ลองนึกถึงที่หลวงวิจิตรวาทการท่านได้เขียนเอาไว้เป็นกลอนว่า
อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน
แต่ว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าหากว่าไม่ใช่มีความคล่องตัวจริง ๆ ในระยะแรกก็ล้วนแล้วแต่ต้องปลีกตัวจากสังคม หรือไม่ก็มีความผิดปกติให้คนอื่นเห็นหรือจับได้ว่าเราปฏิบัติธรรม เนื่องเพราะว่าเราจะสำรวมกาย วาจา ใจ โดยอัตโนมัติ ยิ่งใครที่ทรงสมาธิสมาบัติอยู่ ก็แทบจะเป็น "พระเตมีย์ใบ้" ก็คือไม่ค่อยจะพูดจะจา ไม่ค่อยจะปฏิสันถารกับใคร
ลักษณะอย่างนี้ บุคคลที่เขาจ้องจับผิด ก็จะมีการกระแนะกระแหน คอยถากถางอยู่เสมอ อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเล่าให้พวกเราฟังใน "ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า" โดยที่ท่านเองก็ผจญกับคนทั้งหลายเหล่านี้มาอย่างหนักเช่นกัน
ตรงจุดนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าคุณหลวงตา (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) หลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ก็ยังบอกว่า "เล็กเอ๊ย..พอข้าเป็นเจ้าคุณ มีบางคนเขาอกจะแตกตาย" ซึ่งจะตีความอย่างไร ก็ตีความได้ว่าเขาจะต้องอิจฉา อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่..กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ในขณะเดียวกัน ตัวของกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่ได้อยากได้ อยากมี อยากเป็น พร้อมที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปเสมอ แม้แต่ตำแหน่งหน้าที่ทางคณะสงฆ์ ตำแหน่งหน้าที่ทางวิชาการ ก็ทำหนังสือลาออกเอาง่าย ๆ ทุกครั้ง พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าหากมีใครคิดว่าทำได้ดีกว่า กระผม/อาตมภาพก็พร้อมที่จะเปิดทางให้ เขาไปแสดงฝีมือกันให้พอ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-01-2022 เมื่อ 07:22
|