หลังจากที่ทุกข์บ่อย ๆ ก็จะมาคิดว่า "ทำไมกูถึงทุกข์อยู่ตลอดเวลาวะ ? ก็ต้องมีสาเหตุสิ ไม่อย่างนั้นแล้วกูจะทุกข์ได้อย่างไร ?" ก็ค่อยไปเสาะหาครับว่าเหตุแห่งทุกข์คืออะไร ? แล้วก็ไปพบสมุทัยครับ ดังนั้น...ทำไมเหตุแห่งทุกข์มาทีหลัง แล้วทุกข์มาก่อน ทั้ง ๆ ที่เราต้องมีเหตุก่อน เราถึงจะทุกข์ ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสตามกำลังใจของเรา
นิโรธก็เหมือนกันครับ ทำไมมาก่อนมรรค ? แทนที่จะเดินตามทางไปจนสุดแล้วเกิดความดับ แต่ปรากฏว่าพวกเราก็เหมือนเดิมครับ ด้วยความที่ปัญญาน้อย เป็นปุถุชนหนาด้วยกิเลส เมื่อถึงเวลาเกิดความดับทุกข์ขึ้นมา คือเปะปะทำไปเรื่อยครับ พอทุกข์ดับ "เออ...สบายจริงโว้ย..!" แต่พออีกสักครู่หนึ่ง เหตุของทุกข์เกิด เราทุกข์ใหม่อีก เอ้า.. "ทุกข์ฉิบหา..เลยโว้ย..!"
ตรงจุดนี้เกิดขึ้น พอหลาย ๆ ครั้งเข้าก็เหมือนกันครับ "เอ๊ะ...เมื่อครั้งก่อนเราดับได้นี่ แล้วดับได้ด้วยวิธีไหน ?" ก็จะเริ่มมองหาหนทาง ในที่สุดก็รู้ว่าจะได้ดับได้ด้วยมรรค ๘ ของพระพุทธเจ้านั่นแหละครับ ไม่มีทางอื่นยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้น...การดับทุกข์คือนิโรธ จึงเกิดขึ้นก่อน พอเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็จะมองหาว่าเพราะอะไรถึงดับ ? ถึงได้ไปเจอมรรคครับ
ตรงจุดนี้ ถ้าหากว่าใครถาม ท่านทั้งหลายต้องอธิบายให้เขาฟังได้นะครับว่าเกิดจากอะไร พระพุทธเจ้าตรัสตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา หรือตรัสตามอารมณ์ใจของเราครับ ถึงไม่ได้เรียง สมุทัย->ทุกข์-> มรรค-> นิโรธ แต่เป็นทุกข์-> สมุทัย-> นิโรธ-> มรรค ตรงจุดนี้อยู่ในส่วนของสัจจนิเทสครับ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2021 เมื่อ 03:05
|