๙.๔ จิตและตัณหาเป็นที่มาของสุขและทุกข์ ซึ่งต้องวางให้หมดจึงจักถึงนิพพานได้ “ดูกร..อานนท์ ตถาคตจักแสดงที่สุดโดยย่อ ๆ พอให้เข้าใจง่าย ๆ คือ
สุขกับทุกข์ บุญกับบาป ดีกับชั่ว (เลว) กุศลกับอกุศล ล้วนเกิดจากอารมณ์ของจิตทั้งสิ้น หากคิดดีก็เป็นกุศลเป็นบุญ เป็นความดี หากคิดไม่ดีก็เป็นอกุศล เป็นบาป เป็นความเลว ทุกอย่างเกิดขึ้นในปัจจุบันทั้งสิ้น
เมื่อจิตคิดดีมีความสุขมากเท่าใด ตัณหาก็ทำให้เกิดทุกข์ตามมาเท่านั้น เพราะสุขและทุกข์อยู่ติดกันแกะไม่ออก เมื่อได้สุขเท่าใด ทุกข์ก็พลอยเกิดมีเท่านั้น ครั้นภายหลังเราตถาคตพิจารณาด้วยญาณจักษุปัญญา (ญาณทัศนะอันบริสุทธิ์) เห็นแจ้งชัดว่าสุขและทุกข์ติดอยู่ด้วยกัน จึงหาอุบายแยกสุขกับทุกข์ออกจากกันด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง
เมื่อพบหนทางแล้ว จึงวางเสียซึ่งสุขคืนให้แก่ทุกข์ คือ วางใจให้แก่ตัณหา เมื่อวางได้ ความสุขในพระนิพพานก็เกิดขึ้น เป็นนิพพานดิบ (จิตพ้นทุกข์อย่างถาวรแล้ว แต่ขันธ์ ๕ หรือร่างกายยังไม่ตาย) เมื่อวางใจได้จึงเป็นอัพยากฤต ถือเอาอัพยากฤตเป็นอารมณ์ เป็นองค์พระอรหันต์ คือ ได้เข้าถึงพระนิพพานได้ด้วยอาการดังนี้ (อารมณ์อัพยากฤต หมายถึง สุขเกิดก็รู้แต่ไม่เอา ไม่รับ ทุกข์เกิดก็รู้แต่ไม่เอา ไม่รับ เป็นอารมณ์กลาง ๆ ที่รู้ด้วยอธิปัญญา หรือสังขารุเบกขาญาณนั่นเอง พระอรหันต์ทุกองค์ท่านจึงมีอารมณ์เดียว คือ อารมณ์อัพยากฤต หรือสังขารุเบกขาญาณ)
๙.๕ อรหันต์หรือการเข้าถึงพระนิพพาน เป็นของมีไว้สำหรับโลก มีความสำคัญโดยย่อ ๆ ดังนี้
ก) บุคคลใดปราศจากกิเลสแล้ว บุคคลนั้นก็ได้เป็นพระอรหันต์เสมอกันทุกคน
ข) บุคคลผู้ที่ยังมากด้วยกิเลส จะอ้อนวอนพระอรหันต์จงมาช่วยตนให้หมดกิเลสย่อมไม่ได้ อุปมาเหมือนบุคคลผู้ตกอยู่ในสระน้ำที่แสนจะสกปรกน่ารังเกียจยิ่ง จะมาชวนให้พระอรหันต์ซึ่งพ้นจากวังวนหรือวัฏฏะแล้ว ให้เข้ามาอยู่กับเขา ซึ่งแสนจะทุกข์ทรมานสกปรกอย่างยิ่งอีก ย่อมไม่มีทาง
ค) พระอรหันต์มีหน้าที่ชี้แนะทาง (มรรคและปฏิปทาของมรรค) ที่จะให้พ้นจากกิเลสหรือวังวนได้เท่านั้น การปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเราผู้รับฟัง พึงใช้ตนช่วยตนเอง โดยนำมาปฏิบัติให้เกิดผลที่กายและใจตนเองเท่านั้น
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2010 เมื่อ 12:14
|