หลักคำสอนที่ ๙ : ผู้จะถือเอาความสุขในนิพพาน ต้องวางความสุขในโลกีย์ให้หมด
๙.๑ ความสุขในโลก เกิดจากประตูทั้ง ๖ (ทวารทั้ง ๖ อายตนะทั้ง ๖ ในอินทรีย์ทั้ง ๖ โดยยกให้ใจเป็นหัวหน้า เอาระบบประสาททั้ง ๕ (วิญญาณของขันธ์ ๕) คือ ประสาทของตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นเป็นกามคุณ ๕ ประสาททั้ง ๕ นี้เป็นผู้ปรุงแต่งความสุขให้กับเจ้าพระยาจิตตราช (ใจ) จึงชื่อว่ากามคุณ ๕ สุขในโลกนี้มีแต่กามคุณทั้ง ๕ นี้เท่านั้น ตลอดขึ้นไปจนถึงสุขในเทวโลกและพรหมโลก ก็ยังไม่พ้นกามคุณทั้ง ๕ จัดเป็นความสุขที่เจืออยู่ด้วยความทุกข์ ดังนั้น หากไม่วางโลกียสุขเสียก็ไม่มีทางพ้นทุกข์ เพราะสุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน จะเลือกเอาอย่างเดียวไม่ได้
๙.๒ “อานนท์..บุคคลทั้งหลายที่จักรู้ตามความเป็นจริงว่า สุขกับทุกข์ติดกันอยู่นั้น หายากยิ่งนัก ไม่มีใครสามารถพรากสุขทุกข์ออกจากกันได้ แม้แต่ตถาคตเอง ก็เคยแสวงหาสุขโดยส่วนเดียวมาก่อน และพบความจริงว่า ไม่มีทางทำได้ ตถาคตจึงวางโลกียสุขนั้นเสีย (สุขที่ไม่เที่ยงหรือสุขที่เจือทุกข์อยู่) เมื่อวางโลกียสุขแล้ว ทุกข์ไม่ต้องวางก็หายไปเอง ตถาคตจึงสำเร็จพระนิพพาน พ้นจากกองทุกข์อย่างถาวรด้วยประการดังนี้”
๙.๓ ผู้จะถึงพระนิพพาน ต้องพ้นจากกุศลธรรมและอกุศลธรรม (พ้นดีพ้นชั่ว) “ดูกร..อานนท์ กุศลธรรมและอกุศลธรรมนั้น ได้แก่ กองกิเลส ๑,๕๐๐ นั้นเอง อัพยากตธรรม (ธรรมที่ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล) คือ พระนิพพาน ครั้นพ้นจากกองกุศลธรรมและอกุศลธรรมแล้ว จึงเป็นองค์แห่งพระอรหันต์และพระนิพพานโดยแท้
“ดูกร..อานนท์ กุศลนั้นได้แก่กองสุข อกุศลนั้นได้แก่กองทุกข์ ซึ่งสุขทุกข์นี้ติดเนื่องอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครจักพรากให้แตกออกจากกันได้ ครั้นวางกองสุขแล้ว กองทุกข์ไม่ต้องวางก็มีผลเหมือนกับวางกองทุกข์ด้วย (หมายความว่าทำความดี แต่จงอย่าติดหรือเกาะความดี หรือทำบุญแต่จงอย่าติดหรือเกาะในบุญ หรือทำกุศลธรรมแต่ก็จงอย่าติดหรือเกาะในกุศลธรรม) เมื่อวางโลกียสุขลงแล้ว จึงจักถึงพระนิพพานได้ แต่สำหรับบุคคลที่ยังมีกำลังใจไม่เต็ม (บารมี) ไม่อาจทำนิพพานให้แจ้งได้ (ในชาติปัจจุบัน) ก็ให้ยึดเอากุศลนั้นไว้ก่อน เพื่อกันนรกเมื่อร่างกายแตกตาย จิตจักได้เสวยโลกียสุขในมนุษยโลกและสวรรคโลกได้ หรือให้ยึดเอากุศลนั้นไว้เป็นสะพานสำหรับไต่ไปสู่ความสุขอย่างถาวร (เอาโลกียสุขชั่วคราวเป็นสะพานเพื่อไปสู่โลกุตรสุขถาวร)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2010 เมื่อ 12:13
|