ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพทดสอบมาด้วยตัวเองแล้ว ก็คือออกไปไล่พวกเรือหาปลา แล้วเขาคว้าปืนลูกซองออกมาจะยิง เมื่อเดินเข้าไปหาเหมือนอย่างกับว่าเขาถือสากกะเบืออยู่อันหนึ่ง ปรากฏว่าอีกฝ่ายยิงไม่ออก ต้องโยนปืนทิ้งแล้ววิ่งหนี ทำอย่างไรที่เราจะวางกำลังใจของเราให้มั่นคงขนาดนั้นได้ ?
แต่ว่าเรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าทำได้แล้ว ภายหลังถ้าท่านต้องการมรรคต้องการผล กำลังใจจะพลิกกลับมายาก เพราะว่าการปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผล เราต้องละวางอุปาทานและการยึดเกาะทั้งปวง แต่เรื่องของการใช้คาถา เราต้องสร้างอุปาทานให้เกิดขึ้น อย่างเช่นว่า อาวุธของฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับของเด็กเล่น เป็นแค่ไม้หรือพลาสติกเท่านั้น แล้วกำลังใจของเราจะไปยึดในลักษณะนั้นจนเคยชิน ถ้าแยกแยะกำลังใจของตัวเองไม่เป็น อย่างดีก็ไปได้แค่รูปพรหม
แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราทำไว้ อันดับแรกเลยก็คือ กำลังใจของเรามีเครื่องยึด ถ้าสมาธิทรงตัว จิตใจก็สงบจากรัก โลภ โกรธ หลงชั่วคราว แล้วหลังจากนั้น พอจิตสงบ ปัญญาก็จะเกิด เราจะมองเห็นเองว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะสามารถหลุดพ้นเป็นชั้น ๆ ไปได้ ก็คือค่อย ๆ ลด ค่อย ๆ ละ แล้วท้ายสุดก็เลิก
เราจะเห็นว่าบรรดาพระที่ท่านเข้าถึงมรรคถึงผลแล้ว เรื่องของอภิญญาสมาบัติ ท่านแทบจะไม่ได้ใช้อะไรเลย เพราะว่าในความรู้สึกของท่านก็คือของเด็กเล่น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อารมณ์ที่อยากจะเล่นก็หมด ส่วนใครที่ยังคันไม่เลิก ก็จงเล่นต่อไป เพราะว่าอย่างน้อย ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงอยู่ในด้านดี เวลาตายก็ไปสุคติ เพียงแต่ว่าถ้าหวังสูงถึงขนาดหลุดพ้นเลย ต้องมีปัญญาเพียงพอ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายก็จะเอาตัวไม่รอด เพราะว่าใจไปยึดอุปาทานไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-09-2021 เมื่อ 23:49
|