ในเมื่อเราเกิดในปฏิรูปเทส ได้ชาติกำเนิดเป็นมนุษย์ อยู่ในสถานที่ที่มีสุขมีทุกข์ให้เราเห็นอย่างชัดเจน อยู่ในประเทศที่เป็นพระพุทธศาสนา มีวัดวาอาราม มีครูบาอาจารย์พร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ หรือวิธีการที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์ให้ได้ แต่มีสักกี่คนที่เต็มใจเข้าวัด คือรู้อยู่ว่าสิ่งนี้ดี แต่กำลังใจไม่พอที่จะทำ
เคยมีลูกศิษย์ปรารภกับหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงว่า "หลวงพ่อครับ..ทำไมคนที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจึงมีน้อยเหลือเกิน ?" หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเหมือนกับเพชร แกเคยเห็นคนเข้าร้านขายเพชรมากกว่าเข้าร้านชำไหม ?" คำว่า "ร้านชำ" ในปัจจุบันนี้ ก็น่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ เมื่อท่านเปรียบอย่างนี้ เราก็จะเห็นชัดเจนว่า บุคคลที่เข้าร้านขายเพชรกับเข้าร้านชำ อย่างไหนที่มีมากกว่ากัน
แม้กระทั่งบุคคลที่ใช้คำพูดประเภทที่ว่า "บวชพระแล้วสบาย" ก็ไม่เห็นจะมาบวช ลองดูว่าระยะนี้พระวัดท่าขนุนออกบิณฑบาตเปียกโชกหัวถึงเท้า...สบายมาก...! ลองมาพบกับความสบายแบบนี้ดูบ้าง จะได้ไม่สักแต่หลับหูหลับตาพูด...! แล้วคราวนี้สิ่งที่ยากลำบาก อย่างที่พระภิกษุสามเณรของเราพบเข้า ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งจริง ๆ ท่านทั้งหลายก็อยู่ไม่ได้ ทนความลำบากไม่ได้ ถ้าเป็นภาษาทหารทางโลก เขาบอกว่า ทหารไม่ใช่ดินเหนียวและไม่ใช่เทียนไข โดนแดดโดนฝนจะได้ละลาย
ในเรื่องของทางธรรมก็เหมือนกัน พระภิกษุสามเณรของเราเป็นธรรมเสนา เป็นทหารในกองทัพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้มแข็ง ต้องอดทน ต้องต่อสู้กับกิเลสต่าง ๆ อย่างชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ไม่อย่างนั้นแล้วอับอายขายหน้าไปถึงจอมทัพ ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าอับอายขายหน้าไปถึงบรรดาแม่ทัพนายกอง คือหลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจาย์ ว่ามีลูกศิษย์ที่กำลังใจห่วยแตก สู้กับกิเลสแค่นี้ก็ไม่ไหว ท้อถอยเสียตั้งแต่ต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2021 เมื่อ 01:56
|