สรุป.....
การนั่งสมาธิ เดินจงกรม ยืนเจริญสมาธิ นอนเจริญสมาธิ สรุปรวมทั้งหมดถูกควรทั้งสิ้น แยกทำไปตามความเหมาะสม เจริญสมาธิในท่าใดอิริยาบถไหนมีความเมื่อยล้า ฟุ้งซ่านรำคาญใจ ให้ปรับเปลี่ยนทันทีอย่ารีรอชักช้า เพราะถ้าหากอัตภาพร่างกายไม่เป็นสุข จิตก็พลอยไม่เป็นสุข สมาธิจะย่อหย่อนหรือไม่มีสมาธิไปเลย แต่ก็หาใช่ว่าเปลี่ยนตามความพอใจง่าย ๆ เช่น นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทั้งที่ยังไม่มีอุปสรรคขัดข้องเนื่องจากการนั่ง นอน ยืน เดิน เจริญสมาธิคือการกลั่นกรองหาสาระประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ในตัวเราเอง เพื่อเอาชนะกิเลสตัณหาอวิชชา ตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชี้แนะสั่งสอนไว้ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ผู้สืบทอดพระศาสนาก็นำมาถ่ายทอดอบรมแก่เราอีกต่อหนึ่ง
ความเหมาะสม.....
อย่าหักโหมเพราะมุ่งหวังให้เกิดคุณวิเศษขึ้นในตนเร่งด่วนเกินไป เพราะจะกลายเป็นว่า "สักแต่ว่าทำ" ฉะนั้นจะต้องไม่ร้อนรน ไม่มุ่งหมายว่าจะได้อะไร เพราะการมุ่งหวัง มาดหมาย จะไม่ได้อะไรเลยสักนิดเดียว
ดูสภาพธาตุขันธ์ตนเองว่าสมบุกสมบันได้เช่นผู้อื่นหรือเปล่า ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง คือเป็นผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นผู้สุขภาพอ่อนแอ การนอนเจริญสมาธิให้มากกว่าการนั่ง ยืน เดิน เจริญสมาธิ จะมีผลดีเพียงส่วนเดียวไม่มีผลเสีย
สำหรับผู้สุขภาพร่างกายแข็งแกร่ง สามารถบุกบั่นกับงานเจริญภาวนาครบทุกอิริยาบถ อย่าเบื่อหน่ายรำคาญ ให้เจริญสมาธิเสมอกัน ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน หรือสุดแท้แต่สภาวะในขณะนั้นจะบอกให้ทราบเองโดยอัตโนมัติ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ชินเชาวน์ : 07-01-2010 เมื่อ 22:36
|