ชนใดไม่มีดนตรีกาล................ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ........เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์
ฤๅอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก..............มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี
และดวงใจย่อมดำสกปรก...........ราวนรกชนเช่นกล่าวมานี่
ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้............เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ
คงจะเคยคุ้นหูเพลงนี้กันบ้าง และหลายท่านคงจะรู้ลึกลงไปอีกว่า
เนื้อร้องเป็นพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า ร.๖ และคุ้นตากับการที่มีผู้
นำไปใช้ยกย่องให้ความสำคัญในการดนตรี
แต่เมื่อได้ศึกษาธรรม ได้บวช ก็พบว่า ดนตรีขัดต่อศีล ๘ ศีล ๑๐
ไปกระทั่งพระวินัยของสงฆ์ พาลนึกไปว่าล้นเกล้า ร.๖ ท่านคงห่าง
ธรรมไปหน่อยกระมัง
ทั้งยังพาลนึกตำหนิว่าเนื้อหาแกว่ง ๆ ออกนอกเรื่องดนตรีไป เหมือน
คิดอะไรไม่ออกก็เป๋นอกเรื่องไป
มาถึงบางอ้อเมื่อรู้ความจริงว่าพระราชนิพนธ์นี้เป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ
ด้วยทรงมีพระทัยกว้างสนับสนุนประชาธิปไตย ไปพร้อม ๆ กับพระปรีชา
ทรงอัจฉริยภาพรอบด้าน แม้การละคร การดนตรี กวีศิลป์ ก็ทรงอยู่ใน
ระดับแนวหน้าในประวัติศาสตร์ของชาติไทย
อีตาหลวงอะไร(ก็จำบรรดาศักดิ์ไม่ได้)คนหนึ่งมีฝีปากกล้า หรือควรเรียก
ฝีปากกากล้า บังอาจเขียนร้อยกรองลงหนังสือพิมพ์มีความนัยกล่าวโทษ
พระมหากษัตริย์ไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่เล่นละคร เล่นดนตรีเอาสนุก
ไปวัน ๆ
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น มิได้ทรงถือโทษแต่อย่างใด เพียง
ปรามกลับด้วยพระทัยเปี่ยมล้นพระเมตตาในเชิงกวีอย่างไพเราะ งดงาม
ถึงจะดุก็ดุตามหลัก เพื่อเตือนให้สำนึกในฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่ยังทรงลง
หางเสียงอย่างปราณียิ่ง หาได้เจือด้วยความพิโรธโกรธเคืองอย่างใดไม่
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักประชาธิปไตยโดยแท้
ทรงแสดงพระปรีชา พระปฏิภาณ ทรงเลือกใช้ถ้อยคำได้อย่างเหมาะเจาะ
สมแก่เหตุ สมแก่กาล สมบูรณ์บริบูรณ์หมดจดยิ่งนัก
ช่วยกันเผยแพร่ให้ตรงความจริงกันหน่อยเถิด ไม่อยากเห็นผู้ใดนำ
พระราชนิพนธ์นี้ไปใช้ยกย่องการดนตรีอีก เพราะนอกจากจะเป็นเรื่อง
คนละแควแล้ว ยังเป็นการริดรอนไม่ให้พระปรีชาเป็นที่ประจักษ์อย่าง
เต็มกำลัง เหมือนที่อีตาคนเก่าเคยเข้าใจผิดมาแล้ว