กรรมฐาน ๔๐ ห้อง
“...จะระงับความคิดปรุงทั้งหลายเหล่านี้ด้วยบทธรรม ถ้าระงับเฉย ๆ จะระงับไม่ได้ ต้องอาศัยบทธรรมเพราะจิตทำหน้าที่อันเดียว ไม่มีงานอื่นใดเข้ามาแทรกในขณะที่ทำหน้าที่อันเดียวอยู่นั้น งานสองเข้ามาก็เรียกว่าแย่งงานกัน แล้วต้องให้มีงานอันเดียว คือเราเจริญจิตใจด้วยบทภาวนา นี่ผู้ฝึกหัดเบื้องต้นนะ ให้ฝึกหัดภาวนาอบรม มีคำบริกรรมเป็นเครื่องกำกับใจอยู่เสมอ เราอย่าปล่อยคำบริกรรม
อย่างหนึ่งเห็นว่าไม่ทันการณ์ แล้วหนักเข้าไปกว่านั้นเลยกลายเป็นว่า เห็นว่าครึไปเลย เราคิดนึกแบบเรียนลัดให้จิตสงบไปเอง ๆ อย่างนี้ดีกว่า นี่เป็นความอุตริอันหนึ่งของจิต มันเกิดมาเรื่อย ๆ เพราะมันชอบอุตริชอบทะนงตัว เมื่อธรรมแทรกเข้าไป มันจึงต้องปัด ทั้ง ๆ ที่ธรรมเป็นความถูกต้องดีงาม มันยังต้องปัดจนได้ แล้วก็เรียนลัด นึกแต่ความรู้เฉย ๆ ๆ ให้สติอยู่กับความรู้ ๆ มันก็ไม่เป็นหลักเป็นเกณฑ์อะไรเลย เพราะสติเผลอได้ง่าย เมื่อสติเผลอ.. ความรู้ก็ถูกกิเลสลากให้เถลไถลไปในที่ต่าง ๆ ตามอารมณ์ที่เคยคิดเคยปรุงนั้นแล แล้วก็กลายเป็นกิเลสล้วน ๆ ขึ้นมาแทนที่ซึ่งเราว่าเราภาวนา
เพราะฉะนั้น เพื่อกำจัดอันนี้ลงไป ให้ได้ผลในการภาวนาเท่าที่ควรในเบื้องต้น จึงขอให้ยึดคำบริกรรมไว้ให้ดี คำบริกรรมในกรรมฐาน ๔๐ ห้องนั้น ควรแก่ทั้งสมถธรรมทั้งวิปัสสนาธรรม ควรแก่กันได้ทั้งนั้น ... เวลาเราภาวนา ระงับความอยากเหล่านี้ลง จะเป็นด้วยบทธรรมใดก็ตาม เช่นเรากำหนดภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือ อนุสติ ๑๐ อสุภะ ๑๐ ก็ได้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็ได้ มรณสติก็ได้ อานาปานุสติก็ได้ เหล่านี้ เป็นบทภาวนากรรมฐาน ๔๐ ห้อง เป็นบทธรรมเพื่อความสงบใจ.. แล้วให้ตั้งสติด้วยดี กำกับคำบริกรรมนี้ไว้กับจิตตนเอง อย่าถืองานอื่นใดว่าเป็นงานสำคัญยิ่งกว่างานบริกรรมที่กำกับด้วยสติอย่างเข้มงวดกวดขันนี้ นี่เรียกว่าประกอบความเพียร...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2020 เมื่อ 02:56
|