ธาตุขันธ์... เครื่องมือธรรม
ความสะดวกในธาตุขันธ์เป็นสิ่งสำคัญต่อการเทศน์ ดังที่องค์ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
“... เทศน์ของเราเวลาหนุ่มนี้ .. ไหลเลย.. เวลาอัดเทปนี้... กำลังเร่ง ๆ พอดีลมหายใจหมด เนื้อธรรมยังไม่หมด เลยต้องรีบสูดลมหายใจดังฟิ้ว ฟิ้ว เลยนะ เสียงมันติดอยู่ในเทปนะ ถึงขนาดนั้นนะ เดี๋ยวนี้ โอ๊ย.. ตายเลย.. นี่ละมันต่างกันนะ ธาตุขันธ์มันเป็นยังงั้นจริง ๆ นี่..เทศน์แต่ก่อน มันไหลออกมา
ยิ่งเทศน์ธรรมะขั้นสูงเท่าไรยิ่งฟังจนแทบไม่ทัน มันเป็นจริง ๆ นะ มันพุ่ง..พุ่งเลย เพราะธรรมะออกจากนี้ล้วน ๆ..ล้วน ๆ ไม่ได้ไปคว้าคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ ออกจากนี้.. ธรรมะสูงเท่าไรมันยิ่งเด็ด ๆ ๆ ยิ่งเร็วมันยิ่งพุ่ง เทศน์นี้เร่งจนกระทั่งถึงว่าเป็นปืนกลไปเลย... นี่ละเวลายังหนุ่มน้อย
แต่มันก็เป็นกรรมอันหนึ่งเหมือนกัน พอจากนั้นมาแล้วเป็นโรคหัวใจ ตั้งแต่ ๒๕๐๖ มาเลย นั่นละ..ล้มไปเลย เทศน์นี้หยุดหมด จนกระทั่ง ๒๕๑๒ – ๑๓ พอพูดได้บ้างเล็กน้อย จาก ๒๕๐๖ ไปถึง ๒๕๑๑ – ๑๒ นี้ไม่ได้พูดเลย แม้แต่ต้อนรับแขกก็ไม่เอา หลบหลีกปลีกตัวไปหาอยู่ในป่าในรกไป ซุ่ม ๆ ซ่อน ๆ รับแขกไม่ได้
พอ ๒๕๑๓ –๑๔ ไปแล้ว ก็มีเทศน์บ้างเล็กน้อย จนกระทั่งถึง ๒๕๒๐ ... ที่ลงหนังสือเล่มธรรมชุดเตรียมพร้อมและหนังสือศาสนาอยู่ที่ไหน.. ที่ออกมาเนี่ย เทศน์สอน ... ตั้งเกือบร้อยกัณฑ์ เทศน์สอนทุกวัน .. นั่นละเริ่มเทศนาละ ถึงไม่เข้มข้นก็ตาม ก็เรียกว่าเริ่มเทศน์ละ จากนั้นมาก็ค่อยไปเรื่อย ๆ หากอยู่ในเกณฑ์ระวังโรคหัวใจนี้อยู่ตลอด มันจึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่จะเทศน์เด็ด ๆ เผ็ด ๆ ร้อน ๆ เหมือนแต่ก่อน โอ๋.. ไม่ได้ ว่างั้นเลย จึงต้องลดลง นี่ก็เรียกว่าเป็นกรรมอันหนึ่งเหมือนกัน
หากว่าร่างกายนี้มันพร้อมมาตลอดแล้ว การเทศน์นี้รู้สึกว่าจะกว้างขวางมาก เพราะเทศน์ไม่มีหยุดนี่นะ ที่หยุดก็หยุดเพราะโรคต่างหาก โรคบีบบังคับ หยุดไปสักพักหนึ่ง ถึงมาเริ่มออก ... เทศน์แต่ก่อน จริง ๆ พูดได้จริง ๆ เพราะเราเทศน์อย่างนั้นจริง ๆ มันเป็นในนิสัยจิตใจของเราเองนี่ เทศน์ออกมานี้ ไม่ได้บีบไม่ได้บังคับ มันหากเป็นของมันเอง ยิ่งเทศน์ภาคปฏิบัติด้วยแล้ว มันยิ่งไหลเลยนะ คล่องที่สุดเลย พุ่ง..พุ่ง..พุ่งเลย...”
นอกจากโรคหัวใจจะเป็นเหตุให้ท่านหยุดเทศน์แล้ว ในช่วงที่เกิดสงครามเวียดนามก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งด้วย ที่ไม่อาจเทศน์อบรมพระได้ เนื่องจากมีเสียงรบกวนจากเครื่องบินไอพ่น ที่บินขึ้นลงสนามบินทหารในจังหวัดอุดรธานีอยู่ตลอด
หากกล่าวถึงระดับความรุนแรงโรคภัยไข้เจ็บประจำองค์ท่าน ในช่วงอดีตที่ผ่านมา ความหนักหน่วงมิได้มีผลต่อการเทศนาว่าการเท่านั้น ยังกระทบอย่างรุนแรงต่อธาตุขันธ์ร่างกายขององค์ท่าน .. ชนิดคณะแพทย์ศิริราชต้องตื่นตระหนกอีกด้วย แต่เพราะ “ใจ” และ “ธรรมโอสถ” ของท่านสามารถผ่อนหนักเป็นเบาลงได้ ดังนี้
“... เรื่องใจสำคัญนะ เรายกตัวอย่างพวกหมอศิริราช เขาตั้งหน้าตั้งตามานิมนต์เราไปค้างที่ศิริราชสักคืนหนึ่ง ให้ไปค้างที่นั่นเลย แล้วเขาเอาเครื่องอะไรพะรุงพะรังมาให้เราแบก เอาเครื่องมาวัดไว้เพื่อจะได้ดูชัดเจน พอปลดออกมาเขาดู ทีนี้ตอนหลังมาเขาปลดอันนั้นออกมา เขาว่านี่ ‘โอ้โห’ หมอคนไหนก็ ‘โอ้โห ๆ’ ทั้งนั้น ‘แล้วเป็นยังไง ?’
เขาว่า ‘ถึงแค่นี้ตายไปแล้ว นี้มันเลยไปอีกนู้น.. ท่านยังเฉยอยู่ ลงขนาดนี้แล้วมันตายไปห้าทวีปแล้ว นี่ท่านอยู่ได้ยังไง เห็นท่านเฉยธรรมดา ท่านอยู่ได้ยังไง’
นี่ก็คงกำลังใจ..ใช่ไหมล่ะ กำลังธรรมกำลังใจ เราไม่มีอะไรกับใคร พวกหมอ โอ๊ย.. ตกใจ..ตกใจกันทั้งนั้น พอออกมาดูแล้ว ก็อย่านั้นละ..กำลังใจ ก็เราไม่มีอะไร เราพูดจริง ๆ เรื่องกำลังใจ กำลังธรรม เป็นอันเดียวกันแล้ว มันจึงไม่มีสะทกสะท้านหวั่นไหวกับอะไรในสามโลกธาตุ
เราพูดจริง ๆ ให้สมชื่อสมนามว่า เราสอนลูกศิษย์นี้สอนจริง ๆ หรือสอนหลอกลวงท่านทั้งหลาย เราเป็นอยู่นี่..คิดดูซิ.. หมอเขาเอามาตรวจกลางคืน ให้เราไปค้างคืนที่ศิริราช โถ.. เนี่ย ๆ เขาว่างั้นนะ พวกหมอเขานั้นแหละ เขาว่าเนี่ย..มันตายตั้งแต่ขั้นนี้แล้ว นี่ท่านยังไปอยู่โน้น เดี๋ยวนี้น่ะไปอยู่โน้น ท่านอยู่ได้ยังไงว่างั้น พวกบ้า..เราอยากว่างี้
‘ก็อยู่ได้ด้วยธรรมละซิ พวกไม่มีธรรม มันเป็นบ้า มันตื่นกัน อย่างนั้นละ’ จบแล้ว...”