เมื่อครูบาอาจารย์ทั้งสองท่านเสร็จธุระส่วนตัวแล้ว องค์หลวงตาจึงเริ่มซักไซ้ไล่เลียง หาเหตุหาผล เพื่อแก้ปัญหาข้อขัดข้องภายในของหลวงพ่อบัว ดังนี้
องค์หลวงตาเริ่มพูดก่อนว่า “ผมมามุ่งหลวงพ่อนะนี่ ผมไม่ได้มางานใด ๆ นะ”
หลวงพ่อบัวตอบว่า “ผมก็มามุ่งครูอาจารย์เหมือนกันแล้ว” องค์หลวงตาว่า “เอ้า เล่ามา..เป็นยังไง ? เอ้า.. เล่ามาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติทีแรก ภาวนาตั้งแต่เป็นตาปะขาวมาบวชทีแรก เล่าจนกระทั่งปัจจุบันเป็นยังไง อย่าปิดบัง เล่ามาโดยลำดับ เอ้า.. ผมจะฟังให้ตลอดวันนี้ ผมไม่ได้สนิทใจนักกับหลวงพ่อนะ ผมพูดตรง ๆ นะ”
จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็เล่ามาโดยลำดับ ๆ ๆ จนถึงจุดปัจจุบัน พอถึงจุดนี้ องค์หลวงตาบอกทันทีว่า
“เอ้า.. เล่าไปซี” ตอบว่า “พอ” องค์หลวงตาบอกอีก “เล่าไปซิ” ตอบว่า “หมดเท่านี้” องค์หลวงตาเลยถามว่า “แล้วความเข้าใจว่ายังไง ?” ตอบ “หมดเท่านี้”
ท่านถามอีกว่า “แล้วความเข้าใจว่ายังไงละ ? เอ้า.. ว่าซิ”
“เข้าใจว่าสิ้นแล้ว”
ท่านถามต่อว่า “แล้วเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว ?”
“เป็นมาได้ ๑๐ กว่าปีแล้ว”
เมื่อทราบความตามนั้นแล้ว องค์หลวงตาท่านก็ยังไม่ได้ตอบไปในเวลานั้น ว่าหลวงพ่อบัวสิ้นหรือยังไม่สิ้น แต่ท่านแนะนำทางเดินโดยเริ่มอธิบายในจุดที่ละเอียดให้ฟัง
“เอ้า.. ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนั้น ๆ นั้นนะ..เอาเลย ต่อจากนั้นให้เลย จับให้ดีนะ.. อธิบายให้ฟังเต็มที่ แล้ววันนี้ไม่ต้องไปสวดมนต์ ไม่ต้องไปในงานนู้น ให้ภาวนา เอาให้มันได้วันนี้ รู้วันนี้ละ มันเข้าวงแคบแล้วนี่น่า”
พอพูดกันจบเรียบร้อยแล้ว ท่านกล่าวต่อว่า “ไป..ลงไป เริ่มภาวนาตั้งแต่บัดนี้ไปนะ ทำยังงั้นล่ะ”
การอธิบายกันในคราวนั้น ท่านว่าใช้เวลานานพอสมควร เมื่อจบการอธิบายแล้ว จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็กลับไปภาวนาที่กุฏิ ส่วนองค์หลวงตาไปสวดมนต์ที่ศาลา ครั้นถึงตอนเช้า ขณะที่องค์หลวงตากำลังนั่งภาวนาอยู่ ยังไม่ทันออกจากที่ภาวนาเลย ก็มีเสียงกุ๊บกั๊บ ๆ ดังขึ้นในเวลาใกล้สว่างของวันใหม่ องค์หลวงตาจึงถามขึ้นว่า “ใครนี่ ?”
หลวงพ่อบัวตอบ “ผมครับ” “หลวงพ่อบัวเหรอ ?”
ตอบ “ใช่ครับ” องค์หลวงตาบอก “เออ.. ขึ้นมา ๆ”
จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็เล่าถึงการภาวนาในคืนนั้นให้องค์หลวงตาฟัง ดังนี้
“.. จับอุบายท่านอาจารย์ เข้าปุ๊บเลย.. เพราะแต่ก่อนมันไม่รู้นี่ ได้แต่เฝ้ากันอยู่นั้นเสีย แสดงว่าสำเร็จเสร็จสิ้นก็อยู่งั้นเสีย พอมาถึงที่นั้นแล้วก็เอาอุบายท่านอาจารย์เข้าใส่ปุ๊บ ๆ โห.. ไม่นานเลย ปรากฏเหมือนกับ.. คานกุฏิขาดยุบลงทันที เหมือนกับว่าก้นกระแทกดิน แต่ไม่เจ็บ เหมือนกับคานกุฏิขาดลง ตูมลงพื้นเลย
ฮึบ ทีเดียวเลย แต่จิตมันก็ไม่กังวลนะ เพราะมันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรนี่ ในขณะนั้นพอพึบลงไปนั่น ทีเดียวเท่านั้น นิ่ง... พอมันหายจากขณะนั้นแล้ว จิตก็รู้ตัว ออกมาข้างนอก มาก็มารู้ว่า
‘ฮื้อ.. ว่าคานกุฏิถ้าขาดแล้วมันก็ลงกันทั้งพื้นนี้ ลงไปถึงดินนั่น ทำไมมันถึงดี ๆ อยู่นี่’ มันก็รู้กันทันทีนะว่า ‘โห..นี่มันคานอวิชาขาด’
โอ้โห.. เวลานั้นมัน มันพูดไม่ถูกเลย.. พอขณะนั้น ทำงานกันไปเสร็จสิ้นไปแล้ว ทีนี้มันเหมือนกับว่า เป็นคนละโลกเลยเชียว ผมเลยไม่นอนทั้งคืน เมื่อคืนนี้...”
หลวงพ่อบัวกล่าวกับองค์หลวงตาอย่างซาบซึ้งจับจิตจับใจว่า
“... ผมกราบท่านอาจารย์ทั้งคืนเลย มันไม่ทราบเป็นยังไง มันกราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบท่านอาจารย์ตลอดคืนเลย ผมไม่นอนจนกระทั่งเดี๋ยวนี้เลย โฮ้.. มันอะไรเหมือนกับ ถ้าพูดภาษาพระพุทธเจ้าว่า เสวยวิมุตติสุข มันอะไรพูดไม่ถูก
อัศจรรย์ครูบาอาจารย์ พระธรรม เห็นคุณของท่านอาจารย์ ฮู้ย.. เห็นจริง ๆ เด่นจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ท่านเราจบไปแล้ว ไม่ไปถึงไหนแล้ว เดชะจริง ๆ กราบ ... กราบอยู่อย่างนั้น...”
องค์หลวงตาท่านปรารภถึงเรื่องนี้ว่า นับแต่นั้นมาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับหลวงพ่อบัว วัดหนองแซงอีกเลย จนกระทั่งหลวงพ่อบัวท่านมรณภาพไป องค์หลวงตาบอกว่า ถึงจุดนี้แล้วไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพิ่มเติมให้เป็นประโยชน์อีกแล้ว เพราะมันพออยู่ในตัวแล้ว หมดปัญหาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาพูดอีกแล้ว
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2020 เมื่อ 20:32
|