ดูแบบคำตอบเดียว
  #524  
เก่า 14-07-2020, 14:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เสาหลักกรรมฐาน

งานฉลองกึ่งพุทธกาล

เมื่อครั้งที่องค์หลวงตาจำพรรษาที่จันทบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ชาวจันทบุรีได้เล่าให้ท่านพ่อลี วัดอโศการาม ฟังถึงการเทศนาขององค์หลวงตาชนิดน้ำไหลไฟสว่างเลยทีเดียว ซึ่งแท้จริงแล้วท่านทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อนแล้วตั้งแต่หลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ องค์หลวงตาเล่าว่า
“... ท่านพ่อลีมีนิสัยเด็ดเดี่ยว อาจหาญชาญชัยมากในการประพฤติปฏิบัติ และท่านเคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เริ่มแรกโน้น จนกระทั่งได้พลัดพรากจากกันทั้งหลวงปู่มั่น และท่านเองก็เคยไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ


เท่าที่ได้สังเกตในเวลาท่านไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือนั้น รู้สึกว่าหลวงปู่มั่นท่านแสดงอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความเมตตาอย่างมากมาย เห็นได้อย่างชัดเจน แม้ท่านจะไม่ได้พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือเป็นเวลานานก็ตาม แต่สถานที่ให้พักสำหรับท่านพ่อลีเรานี้ ท่านเป็นผู้สั่งเองว่าให้ไปจัดที่นั่น ๆ คือในป่านอกบริเวณรั้ววัด ให้ท่านลีได้พักสบาย ๆ เพราะสงัดดีกว่าที่อื่น ๆ

คำว่าที่นั่น ๆ นั่นหมายถึงในป่าลึก ๆ โน้น แล้วก็สั่งเราเองนี้ให้เป็นผู้ไปดู และจัดสถานที่ที่จะให้ท่านพัก หลังจากนั้นท่านยังตามไปดูสถานที่พักนั้นอีกด้วย นี่ก็เป็นเหตุให้ประทับใจไม่ลืม และการให้โอวาทสั่งสอนใน ๒ – ๓ คืนที่ท่านพักอยู่นั้น รู้สึกว่าประทับใจอย่างมากทีเดียว

เพราะครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน และเป็นที่เมตตาเป็นที่ไว้วางใจของท่าน นาน ๆ จะได้ไปพบกับท่าน กราบนมัสการท่านครั้งหนึ่ง และได้สนทนาธรรมกัน ท่านจึงได้สนทนากันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถเต็มธรรมทุกขั้นตอน ซึ่งยากที่จะหาฟังได้ในเวลาอื่น ๆ

นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ลืมไม่ได้ เพราะหลวงปู่มั่นนั้นแสดงอาการอันใดออกมา ย่อมเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความหมายที่จะยึดเป็นคติได้ตลอดไป ไม่สักแต่ว่ากิริยาที่แสดงออกมาเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยความหมาย นี่ท่านพ่อลีก็เป็นลูกศิษย์องค์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเรา...”

จากคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ท่านพ่อลีรู้จักคุ้นเคยกับองค์หลวงตาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านหนองผือแล้ว

ต่อมาเมื่อท่านเริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดได้ไม่นาน ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ครบกึ่งพุทธกาล ท่านพ่อลีจึงได้จัดเตรียมงานฉลองพระพุทธศาสนาขึ้นที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ความตั้งใจของท่านพ่อลีในทีแรก คิดจะจัดงานนาน ๒ อาทิตย์ แต่ก็มีเหตุให้ขยายวันเพิ่มออกไป

เป็นปกติธรรมดาเมื่อทำกิจการงานใด ปัญหาในงานนั้นย่อมเกิดมีขึ้นไม่มากก็น้อย และหากต้องอาศัยคนหมู่มากเข้าร่วมงานกันด้วยแล้ว การตกลงกันในงานเพื่อจะให้มีทิศทางเดียวกัน ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีก มิฉะนั้น ปัญหายุ่ง ๆ พอให้รำคาญใจย่อมจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย แม้ในคราวจัดงานบุญครั้งนี้ก็เช่นกัน

พอเริ่มงานได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ก็เริ่มมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น คือจำนวนแม่ครัวมีไม่เพียงพอ ปัญหาเท่านี้คงไม่ใหญ่โตอะไร แต่เมื่อขยายผลมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ อันเป็นกิ่งก้านสาขาตามมาจนเป็นเหตุให้เกิดการโต้เถียงกันในที่สุด เนื่องจากยังหาจุดลงตัวไม่ได้ งานส่วนรวมจึงเกิดชะงักงันขึ้น กลายเป็นปัญหาโหญ่โต แม้จะมีพระภิกษุครูบาอาจารย์พยายามไปพูดคุยช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่เป็นผลดีขึ้นแต่อย่างใด บางทีอาจซ้ำร้ายลงไปอีก ดังนี้
“... อย่างวัดอโศการามระงับเหตุก็เรา มีงานฉลอง ๒๕๐๐ คนแน่นหมดเลย งานนี้จะให้มีอยู่สองอาทิตย์ ทำประมาณสัก ๖ – ๗ วันเรื่องราวก็เกิดขึ้น ยังไม่ถึงไหนเกิดเรื่องขึ้นแล้วภายในวัด ยุ่งกันฝ่ายผู้หญิง.. แม่ครัวไม่พอบ้าง อะไรบ้างยุ่งไปหมด อโศการาม.. นี่ก็ท่านพ่อลีล่ะ ท่านก็สั่งท่านอาจารย์เจี๊ยะนี้ละ.. ไปหาเราว่า


บอกให้มหาบัวไประงับเหตุในครัวเดี๋ยวนี้ คนอื่นไปแทนไม่ได้โดยเด็ดขาด ห้ามไม่ให้ใครแทนเป็นอันขาด ให้มหาบัวเท่านั้นไป
แล้วก็บอกให้ท่านอาจารย์เจี๊ยะไปหาเรา ให้เราไประงับเหตุการณ์ในครัว เราบอก ‘ไปหาองค์อื่นไม่ได้หรือ’


‘ท่านห้ามเด็ดขาด ให้ท่านอาจารย์เท่านั้นไประงับเหตุการณ์ในครัว’

‘โอ๊ย.. ทำไงอย่างนี้’

‘ก็ท่านสั่งอย่างนี้ จะทำไง’ ตกลงเราก็เลยไป...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2020 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
ภาวนามัย (25-04-2024), สุธรรม (15-07-2020)